วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ระบบ 3G คืออะไร

ระบบ 3G ( UMTS ) นั้นคือการนำเอาข้อดีของ ระบบ CDMA มาปรับใช้กับ GSM เรียกว่า W-CDMA ซึ่งถูกพัฒนาโดยบริษัท NTT DoCoMo ของญี่ปุ่น

สำหรับเมืองไทยนั้น ระบบ 3G จะเป็น เทคโนโลยีแบบ HSPA ซึ่งแยกย่อยได้เป็น HSDPA , HSUPA และ HSPA+

HSDPA นั้นจะสามารถ รับส่งข้อมูลได้สูงสุดที่ Download 14.4 Mbps / Upload 384 Kbps.
(ปัจจุบันผู้ให้บริการทั่วโลกยังให้บริการอยู่ที่ Download 7.2Mbps เท่านั้น)
HSUPA จะเหมือนกับ HSDPA ทุกอย่างแต่การ Upload ข้อมูลจะวิ่งที่ความเร็วสูงสุด 5.76 Mbps
HSPA+ เป็นระบบในอนาคต การ Download ข้อมูลจะอยู่ที่ 42 Mbps / Upload 22 Mbps

สำหรับในเมืองไทยนั้น ระบบ 3G ( HSPA ) ที่ Operator AIS หรือ DTAC นำมาใช้จะเป็น HSDPA โดยการ Download จะอยู่ที่ 7.2Mbps ซึ่งน่าจะได้ใช้กันในไม่ช้า

ข้อควรระวังในการเลือกซื้อ AirCard แบบที่รองรับ 3G คลื่นความถี่ 3G ที่ใช้กันทั่วโลก จะใช้อยู่ 3 ความถี่ที่เป็นมาตราฐานคือ 850 , 1900 และ 2100 ซึ่งเมืองไทยจะแบ่งเป็นดังนี้

คลื่นความถี่ ( band ) 850 จะถูกพัฒนาโดย Dtac และ True
คลื่นความถี่ ( band ) 2100 คาดว่าจะถูกพัฒนาโดย AIS (อยู่ในขั้นตอนการประมูล)
คลื่นความถี่ ( band ) 1900 ยังไม่แน่ชัดว่าจะถูกปล่อยออกโดยบริษัทไหน

ดังนั้นการเลือกซื้อ Air Card, Router หรือ โทรศัพท์มือถือ และต้องการให้รอบรับ 3G ควร check ให้ดีก่อนว่าสามารถรองรับได้ทั้ง 3 คลื่นหรือเพียงบางคลื่นเท่านั้น

การที่มีระบบ 3G นั้นจะทำให้ใช้ชีวิตได้สะดวกสบายมากขึ้น ลองนึกดูว่าสามารถฟัง Imeem คุย MSN หรือแม้แต่ดู Youtube จากที่ไหนก็ได้ผ่านมือถือ และอื่นๆอีกมากมายเลยทีเดียว


การฉีดเชื้อผสมเทียมในโพรงมดลูก (Intrauterine Insemination-IUI)

การฉีดเชื้อผสมเทียมในโพรงมดลูก (IUI)

คือ การฉีดเชื้ออสุจิเข้าไปในโพรงมดลูกโดยตรง โดยใช้ท่อพลาสติกเล็กๆ สอดผ่านปากมดลูแล้วฉีดเชื้ออสุจิเข้าไปในช่วงที่มีหรือใกล้กับเวลาที่มีไข่ตก

วิธีนี้มักทำกับคู่ที่ฝ่ายชายมีเชื้ออสุจิผิดปกติ คือ จำนวนน้อยเกินไปหรือเชื้ออสุจิแข็งแรงน้อยเกินไป หรือมีปัญหามีปฏิกิริยากับปากมดลูกได้ง่าย เข้าไปในโพรงมดลูกไม่ได้

นอกจากนี้ยังทำในกรณีที่ฝ่ายชายไม่สามารถปล่อยน้ำอสุจิในช่องคลอดฝ่ายหญิงได้ เช่น อวัยวะเพศมีปัญหาเรื่องการแข็งตัว, หลั่งเร็วเกินไป หรือมีโรคอื่น ๆ

การทำ IUI ช่วยเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์มากกว่าวิธีตามธรรมชาติ เพราะจะได้จำนวนเชื้ออสุจิที่แข็งแรงจำนวนมากกว่าที่เข้าไปปฏิสนธิกับไข่ (จำนวนยิ่งมากยิ่งมีโอกาสอสุจิตัวหนึ่งปฏิสนธิกับไข่ได้มากขึ้น)

ในรายที่มีภาวะมีบุตรยากที่หาสาเหตุไม่ได้ พบว่าการทำ IUI มีผลการตั้งครรภ์มากกว่าปกติเป็น 2 เท่า ถ้าทำร่วมกับกระตุ้นการตกไข่ด้วยยารับประทาน โอกาสมากขึ้นเป็น 3 เท่า และถ้ากระตุ้นด้วยยาฉีด (control hyperstimulation) โอกาสมากขึ้นเป็น 4-6 เท่า

การทำ IUI อาจใช้เชื้ออสุจิของสามีหรือ เชื้ออสุจิของผู้บริจาค ถ้าใช้เชื้อจากสามีงดเว้นมีเพศสัมพันธ์ 2-4 วันก่อนวันทำการฉีด (วันตกไข่)

วิธีการคือเมื่อฝ่ายชายเก็บน้ำเชื้อมาได้จากการช่วยตัวเองแล้ว เชื้ออสุจิจะถูกล้างด้วยน้ำยาให้แยกออกมาจากน้ำอสุจิแล้วเลือกเฉพาะตัวที่แข็งแรง ดูดออกมาใส่สายพลาสติกเล็ก ๆ สอดผ่านปากมดลูกฉีดเข้าไปในโพรงมดลูกโดยตรง ปล่อยให้เชื้ออสุจิว่ายไปหาไข่เอง

เวลาที่ใช้เตรียมอสุจิประมาณ 1-2 ช.ม. เวลาที่ใช้ฉีดไม่กี่นาที ค่าใช้จ่ายไม่แพงมาก (เป็นหลักพันบาทต้น ๆ ) ไม่เจ็บ ทำเสร็จแล้วปฏิบัติตัวได้ตามปกติ ไม่ต้องอยู่โรงพยาบาล ไม่ต้องพักฟื้นใด ๆ ถ้าไม่ตั้งครรภ์ในการใส่ครั้งหนึ่ง อาจทำซ้ำในรายต่อไปได้อีก

ประวัติเทพเจ้ากวนอู


ประวัติเทพเจ้ากวนอู

กวนอู (Guan Yu, ??, พินอิน:Gu?n Y?) มีชื่อรองว่า หยุนฉาง (ค.ศ. 160 - ค.ศ. 219) น้องร่วมสาบานคนรองของเล่าปี่ และเตียวหุย หน้าแดงเหมือนผลพุทราสุก จักษุเรียวงามคล้ายนกการเวก คิ้วโก่งดั่งตัวหนอนไหม หนวดเคราสีดำงามยาวละเอียด มีง้าวมังกรเขียวยาว 8 ศอก หนัก 82 ชั่งจีน เป็นอาวุธคู่กาย ร่วมต่อสู้กับเล่าปี่ ตลอดชีวิตที่ผ่านมาสู้ด้วยความจงรักภักดี คุณธรรม และความกล้าหาญ ถึงจะพ่ายแพ้ศึก และยอมเป็นข้ารับใช้โจโฉ แต่ใจก็ยังคงภักดีต่อเล่าปี่เพียงผู้เดียว สร้างชื่อเสียงลือไกล ด้วยการสังหาร ฮัวหยงแม่ทัพของตั๋งโต๊ะ โดยที่สุรายังอุ่น ๆ อยู่ เอาชนะงันเหลียง และบุนทิว 2 แม่ทัพของอ้วนเสี้ยว ฝ่า 5 ด่าน สังหาร 6 แม่ทัพของโจโฉ และยังครองใจผู้คน ไม่ว่าเลียวฮัว และจิวฉอง รวมถึงเตียวเลี้ยวแม่ทัพของโจโฉ และฮองตง ที่แม้เคยเป็นศัตรู แต่ก็ครองใจได้ ขี่ม้าเซ็กเธาว์อาชาชั้นยอดของลิโป้ ต่อมาได้เป็นเจ้าเมืองเกงจิ๋ว อยู่ร่วมกับ กวนเป๋งบุตรบุญธรรม กับจิวฉอง ภายหลังถูก แผนกลยุทธ์ของลกซุน และลิบองฆ่าตาย แต่ถึงจะตายไป ก็ยังทำให้ลิบองตายตามไปด้วย หลังจากตายไป ได้ถูกยกย่องว่า เป็นเทพเจ้าแห่งความซื่อสัตย์ ชึ่งภาษาจีนกลางเรียก กวนอี่ว์

กวนอู มีร่างกายกำยำ สูง 6 ศอก หนวดยาว 1 ศอก หน้าแดงก่ำ มีอาวุธคือง้าวมังกรเขียวหนัก 82 ชั่ง แต่เดิมเป็นคนขายถั่วชาวไกเหลียง ไม่มีที่อยู่แน่ชัดเนื่องจากเร่ร่อนไปเรื่อย ๆ ต่อมาพบกับเศรษฐีคนหนึ่งรังแกชาวบ้านจึงฆ่าเศรษฐีคนนั้นตาย ชาวเมืองไกเหลียงจึงยกย่องกวนอู แต่ทางการกลับประกาศจับกวนอู จนกวนอูต้องหลบหนีออกจากเมืองไกเหลียง ระหว่างผ่านด่านนอกเมืองได้ไปล้างหน้า เทพเจ้าได้ดลบันดาลให้หน้าเปลี่ยนเป็นสีแดง จนนายด่านจำไม่ได้ จึงผ่านออกมาได้ จนได้มาพบเล่าปี่และเตียวหุยที่ตุ้นก้วน ทั้งสามจึงสาบานเป็นพี่น้องกัน ต่อมากวนอูได้ร่วมรบกับเล่าปี่ปราบโจรโพกผ้าเหลืองจนราบคาบ แต่เล่าปี่กลับได้เป็นแค่นายอำเภออันห้อก้วน ส่วนน้องทั้งสองก็ไม่ได้รับตำแหน่งใด ๆ ยังเป็นเพียงคนสนิทของเล่าปี่เหมือนเดิม ต่อมามีเจ้าเมืองชื่อต๊กอิ้วมาตรวจราชการอำเภออันห้อก้วน เล่าปี่ไม่มีสินบนให้จึงถูกต๊กอิ้วเขียนฎีกาถวายฮ้องเต้ว่าเล่าปี่กบฏ เตียวหุยโกรธจัดจึงเฆี่ยนต๊กอิ้ว เล่าปี่เห็นท่าไม่ดีจึงหนีออกมาพร้อมกับน้องทั้งสอง ต่อมาทั้งสามก็ได้ระหกระเหินเร่ร่อน กวนอูนั้นก็สร้างวีรกรรมมากมายทั้งการบุกเดี่ยวหนีออกมาจากโจโฉมาหาเล่าปี่ทั้ง ๆ ที่โจโฉพยายามทำทุกวิถีทางที่จะมัดใจกวนอู แต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ ฆ่าฮัวหยง งันเหลียง บุนทิวในเพลงเดียว ไว้ชีวิตโจโฉหลังแพ้ศึกเซ็กเพ็กทั้ง ๆ ที่ได้ทำทัณฑ์บนไว้กับขงเบ้งว่าถ้าปล่อยให้โจโฉรอดไปจะต้องถูกประหาร บุกเดี่ยวข้ามฟากไปยังกังตั๋งเพื่อกินเลี้ยงตามแผนของโลซก แต่ผ่ายโลซกไม่อาจทำอะไรได้ เป็นต้น

จนเมื่อเล่าปี่ได้ครองเสฉวน เล่าปี่จึงแต่งตั้งให้กวนอูเป็น 1 ใน ห้าทหารเสือแห่งจ๊กก๊ก และได้ครองเมืองเกงจิ๋ว ต่อมาซุนกวนจับมือกับโจโฉบุกเกงจิ๋ว กวนอูถูกลิบองแม่ทัพแห่งง่อก๊กจับตัวไป กวนอูไม่ยอมสวามิภักดิ์ จึงถูกซุนกวนสั่งประหารพร้อมกับกวนเป๋งบุตรบุณธรรม ต่อมากวนอูจึงถูกยกย่องให้เป็นเทพเจ้าแห่งความซื่อสัตย์ มีผู้คนนับถือมากมายจนถึงปัจจุบัน

ภายหลังจากที่กวนอูตายไปแล้ว ซุนกวนได้ส่งศีรษะกวนอูไปให้โจโฉ เพื่อป้ายความผิดไปยังโจโฉ โจโฉเมื่อเปิดหีบดูศีรษะของกวนอูแล้ว พูดอย่างเยาะเย้ยว่า "กวนอู ท่านสบายดีหรือ ตอนท่านยังมีชีวิตอยู่ท่านไม่เคยมาหาข้าพเจ้า แม้ข้าพเจ้าจะรั้งตัวท่านไว้ ท่านก็ไม่ยอมอยู่ แต่บัดนี้ท่านตายแล้วกลับมาหาข้าพเจ้า" พลันหัวของกวนอูก็ลืมตาขึ้น โจโฉตกใจมาก ระล่ำระลักว่า กวนอูนี้ศักดิ์สิทธิ์นัก จึงให้ตั้งศาลบูชาเซ่นสรวงกวนอูที่นอกเมืองลกเอี๋ยง และหลังจากนั้นโจโฉก็มักปวดศีรษะและเห็นภาพหลอนอยู่บ่อย ๆ ก่อนที่จะเสียชีวิตไม่นาน

ซึ่งก่อนหน้านั้น ลิบองผู้ที่สามารถจับตัวกวนอูได้ ในงานเลี้ยงที่ฉลองชัยชนะที่มีต่อกวนอู จู่ ๆ ลิบองก็ลุกขึ้นมาชี้หน้าด่าซุนกวนด้วยเสียงอันดังที่ผิดแผกออกไปจากเสียงปกติ แล้วจึงล้มลงสิ้นชีวิตทันที ซุนกวนถึงกับกลัวลนลาน ทั้งหมดนี้เชื่อว่า เป็นเพราะอิทธิฤทธิ์ดวงวิญญาณของกวนอู

การเขียน Storyboard

การเขียนสตอรี่บอร์ดเป็นขั้นตอนของการเตรียมการนำเสนอข้อความ ภาพ รวมทั้ง สื่อในรูปของมัลติมีเดียต่างๆ ลงในกระดาษ เพื่อให้การนำเสนอข้อความ และสื่อในรูปแบบต่างๆ เหล่านี้เป็นไปอย่างเหมาะสมบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ต่อไป ขณะที่ผังงานนำเสนอลำดับ และขั้นตอนของการตัดสินใจ สตอรี่บอร์ดนำเสนอเนื้อหา และลักษณะของการนำเสนอ ขั้นตอนการสร้างสตอรี่บอร์ดรวมไปถึงการเขียนสคริปต์ (ซึ่งสคริปต์ในที่นี้ คือ เนื้อหา) ที่ผู้ใช้จะได้เห็นบนหน้าจอซึ่งได้แก่ เนื้อหา ข้อมูล คำถาม ผลป้อนกลับ คำแนะนำ คำชี้แจง ข้อความเรียกความสนใจ ภาพนิ่ง และภาพเคลื่อนไหว ฯลฯ
  • Storyboard คือ การสร้างภาพให้เห็นลำดับขั้นตอนตามเนื้อเรื่องที่ต้องการ โดยเฉพาะการสร้างภาพเคลื่อนไหว
  • รายละเอียดที่ควรมีใน Storyboard ได้แก่ คำอธิบายแต่ละสื่อที่ใช้ (ข้อความ รูปภาพ ภาพเคลื่อนไหว เสียง วีดิโอ)

การจัดทำ Storyboard

ตัวอย่างเช่นในหัวข้อ Presentations จากโฟลว์ชาร์ตก็เป็นการแจงแจงรายละเอียดลงไปว่าในส่วนนี้ประกอบด้วยภาพ ข้อความ ภาพเครื่องไหว มีเสียงหรือเพลงประกอบหรือไม่ และมีการเรียงลำดับการทำงานอย่างไร มีการวางหน้าจออย่างไรรวมทั้งการกำหนดแหล่งของข้อมูล เช่น ภาพและเสียงว่าได้มาอย่างไรจากแหล่งไหน

การเตรียมข้อมูลสำหรับ Storyboard

ข้อมูลสำหรับ Storyboard อาจมีทั้งภาพ เสียง ข้อความ ภาพเคลื่อนไหว (Animation Movies) หรืออื่นๆ ซึ่งจะต้องมีการจัดเตรียมขึ้นมาก่อนที่จะนำไปใส่โปรแกรม มีรายละเอียดที่เกี่ยวข้องดังนี้

  • การจัดเตรียมภาพสำหรับโปรแกรม
  • การจัดเตรียมเสียง
  • สร้างภาพเคลื่อนไหว (Animation File)
  • ตัวอย่าง Storyboard

เมืองลับแล จังหวัด อุตรดิตถ์


เมืองลับแลเป็นอำเภอเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในจังหวัดอุตรดิตถ์แต่เดิมคงเป็นเมืองที่การเดินทาง ไปมาไม่สะดวก เส้นทางคดเคี้ยว ทำให้คนที่ไม่ชำนาญทางพลัดหลงได้ง่าย จนได้ชื่อว่าเมืองลับ แล ซึ่งแปลว่า มองไม่เห็น มีเรื่องเล่ากันว่าคนมีบุญเท่านั้นจึงจะได้เข้าไปถึงเมืองลับแล

มีตำนานเล่าว่า ครั้งหนึ่งมีชายคนหนึ่งเข้าไปในป่า ได้เห็นหญิงสาวสวยหลายคนเดินออกมา ครั้นมาถึงชายป่า นางเหล่านั้นก็เอาใบไม้ที่ถือมาไปซ่อนไว้ในที่ต่าง ๆ แล้วก็เข้าไปในเมืองด้วยความ สงสัยชายหนุ่มจึงแอบหยิบใบไม้มาเก็บไว้ใบหนึ่ง ตกบ่ายหญิงสาวเหล่านั้นกลับมา ต่างก็หาใบไม้ที่ ตนซ่อนไว้ ครั้นได้แล้วก็ถือใบไม้นั้นเดินหายลับไป มีหญิงสาวคนหนึ่งหาใบไม้ไม่พบเพราะชายหนุ่ม แอบหยิบมา นางวิตกเดือดร้อนมาก ชายหนุ่มจึงปรากฏตัวให้เห็นและคืนใบไม้ให้ โดยมีข้อแลก เปลี่ยนคือขอติดตามนางไปด้วยเพราะปรารถนาจะได้เห็นเมืองลับแล หญิงสาวก็ยินยอม นางจึงพา ชายหนุ่มเข้าไปยังเมืองซึ่งชายหนุ่มสังเกตเห็นว่าทั้งเมืองมีแต่ผู้หญิง นางอธิบายว่า คนในหมู่บ้านนี้ ล้วนมีศีลธรรม ถือวาจาสัตย์ ใครประพฤติผิดก็ต้องออกจากหมู่บ้านไป ผู้ชาย ส่วนมากมักไม่รักษา วาจาสัตย์จึงต้องออกจากหมู่บ้านกันไปหมด แล้วนางก็พาชายหนุ่มไปพบมารดาของนาง ชายหนุ่ม เกิดความรักใคร่ในตัวนางจึงขออาศัยอยู่ด้วย มารดาของหญิงสาวก็ยินยอมแต่ให้ชายหนุ่มสัญญา ว่าจะต้องอยู่ในศีลธรรม ไม่พูดเท็จ ชายหนุ่มได้แต่งงานกับหญิงสาวชาวลับแลจนมีบุตรชายด้วยกัน 1 คน วันหนึ่งขณะที่ภรรยาไม่อยู่บ้าน ชายหนุ่มผู้พ่อเลี้ยงบุตรอยู่ บุตรน้อยเกิดร้องไห้หาแม่ไม่ยอม หยุด ผู้เป็นพ่อจึงปลอบว่า ?แม่มาแล้ว ๆ? มารดาของภรรยาได้ยินเข้าก็โกรธมากที่บุตรเขยพูดเท็จ เมื่อบุตรสาวกลับมาก็บอกให้รู้เรื่อง ฝ่ายภรรยาของชายหนุ่มเสียใจมากที่สามีไม่รักษาวาจาสัตย์ นางบอกให้เขาออกจากหมู่บ้านไปเสีย แล้วนางก็จัดหาย่ามใส่เสบียงอาหารและของใช้ที่จำเป็นให้ สามี พร้อมทั้งขุดหัวขมิ้นใส่ลงไปด้วยเป็นจำนวนมาก จากนั้นก็พา สามีไปยังชายป่า ชี้ทางให้ แล้ว นางก็กลับไปเมืองลับแล ชายหนุ่มไม่รู้จะทำอย่างไรก็จำต้องเดิน ทางกลับบ้านตามที่ภรรยาชี้ทางให้ ระหว่างทางที่เดินไปนั้น เขารู้สึกว่าถุงย่ามที่ถือมาหนักขึ้น เรื่อย ๆ และหนทางก็ไกลมาก จึงหยิบเอาขมิ้นที่ภรรยาใส่มาให้ทิ้งเสียจนเกือบหมด ครั้นเดิน ทางกลับไปถึงหมู่บ้านเดิมบรรดาญาติมิตรต่างก็ ซักถามว่าหายไปอยู่ที่ไหนมาเป็นเวลานานชาย หนุ่มจึงเล่าให้ฟังโดยละเอียดรวมทั้งเรื่องขมิ้นที่ภรรยาใส่ย่ามมาให้แต่เขา ทิ้งไปเกือบหมด เหลืออยู่เพียงแง่งเดียว พร้อมทั้งหยิบขมิ้นที่เหลืออยู่ออกมา ปรากฏว่าขมิ้นนั้นกลับกลายเป็นทองคำทั้ง แท่ง ชายหนุ่มรู้สึกแปลกใจและเสียดาย จึงพยายามย้อนไปเพื่อหาขมิ้นที่ทิ้งไว้ ปรากฏว่าขมิ้นเหล่านั้นได้งอกเป็นต้นไปหมดแล้ว และเมื่อขุดดูก็พบแต่แง่งขมิ้นธรรมดาที่มีสีเหลืองทองแต่ไม่ใช่ทองเหมือน แง่งที่เขาได้ไป เขาพยายามหาทางกลับไปเมืองลับแล แต่ก็หลงทางวกวนไปไม่ถูก จนในที่สุดก็ต้องละความพยายามกลับไปอยู่หมู่บ้านของตนตามเดิม

อิสตันบูล

อิสตันบูล (Istanbul) ตั้งอยู่บริเวณช่องแคบบอสฟอรัส (Bosphorus) ซึ่งทำให้อิสตันบูลเป็นเมืองสำคัญเพียงเมืองเดียวในโลก ที่ตั้งอยู่ใน 2 ทวีป คือ ทวีปยุโรป (ฝั่ง Thrace ของบอสฟอรัส) และทวีปเอเชีย (ฝั่งอนาโตเลีย) โดยทั้ง 2 ทวีปถูกแบ่งแยกออกจากกันโดยช่องแคบบอสฟอรัส ทะเลมาร์มารา และช่องแคบดาร์ดาแนลส์ เดิมชื่อ คอนสแตนติโนเปิล (Constantinople) อาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ ที่เป็นเมืองสำคัญของชนเผ่าจำนวนมากในบริเวณนั้น จึงส่งผลให้อิสตันบูลมีชื่อเรียกแตกต่างกันออกไปเช่น ไบแซนเทียม, คอนสแตนติโนเปิล, สแตมโบล เป็นต้น

หากร้อยเรียงประวัติศาสตร์ของอีสตันบูล ต้องเริ่มตั้งแต่เมืองไบแซนเทียม (Byzantium) ที่สร้างโดยชาวกรีกเมื่อ 667 ปีก่อนคริสตกาล โดยตั้งชื่อตามกษัตริย์ Byzas เมืองไบแซนเทียมถูกครอบครองและทำลายโดยจักรวรรดิโรมัน เมื่อปี พ.ศ. 739 (ค.ศ. 196) จากนั้นโรมันได้สร้าง ไบแซนเทียมขึ้นมาใหม่อีกครั้งในยุคของจักรพรรดิเซ็ปติมัส เซเวอรัส

หลังจากนั้นจักรพรรดิคอนสแตนตินมหาราชแห่งจักรวรรดิโรมันได้ย้ายมาสร้างกรุงโรมใหม่ (Nova Roma) ที่ไบแซนเทียม แต่คนส่วนมากมักนิยมเรียกว่าเมือง "คอนสแตนติโนเปิล" มากกว่า ในภายหลังจักรวรรดิโรมันตะวันออกที่มีเมืองหลวงคือคอนสแตนติโนเปิล มักถูกเรียกว่า "จักรวรรดิไบแซนไทน์" คอนสแตนติโนเปิลเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปยุคนั้น หลังสงครามครูเสดครั้งที่ 4 คอนสแตนติโนเปิลถูกยึดและเผาทำลาย ก่อนจะถูกยึดกลับคืนได้ในภายหลัง

หลังจากล่มสลายของกรุงโรมและจักรวรรดิโรมันตะวันตก คอนสแตนติโนเปิลกลายเป็นเมืองหลวงเพียงแห่งเดียวของจักรวรรดิไบแซนไทน์ และเป็นศูนย์กลางของศาสนาคริสต์นิกาย กรีกออเธอร์ด็อกซ์ โดยมีสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่อย่างเช่น โบสถ์ฮาเจีย โซเฟีย เป็นต้น

กระทั่งถึงจักรวรรดิออตโตมัน ในปีพ.ศ. 1996 (ค.ศ. 1453) สุลต่านเมห์เม็ดที่ 2 ได้บุกยึดกรุงคอนสแตนติโนเปิล ตัวเมืองได้รับการฟื้นฟูขึ้นมาใหม่อีกครั้งใต้อิทธิพลของวัฒนธรรมแบบมุสลิม ชื่อของเมืองเปลี่ยนเป็นอิสตันบูล ในสมัยของจักรวรรดิออตโตมัน เมืองอิสตันบูลได้เจริญรุ่งเรืองขึ้นเป็นอย่างมาก

ในห้วงก้าวสู่สาธารณรัฐตุรกี เมื่อสาธารณรัฐตุรกีถูกก่อตั้งขึ้นใน พ.ศ. 2466 (ค.ศ. 1923) เมืองหลวงของประเทศย้ายจากอิสตันบูลไปที่เมืองอังการา นับระยะเวลาที่อิสตันบูลเป็นเมืองหลวงทั้งสิ้น 1,610 ปี

วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2554

เทคนิคการเตรียมตัวสอบ









1. ทำตารางสอบ : โดยจดวันและเวลาที่สอบไว้ให้ชัดเจน






2. อ่านตำราโดยจัดลำดับตามตารางสอบ (ในข้อ 1): โดยเริ่มอ่านจากวิชาที่สอบวันแรก ไปจนถึงวันสุดท้าย และควรอ่านให้จบก่อนถึงวันสอบประมาณ 4 วันหรือมากว่านั้น และอ่านทบทวนอีกครั้งในวันสุดท้ายก่อนที่จะถึงวันสอบวิชานั้นๆ






3. พูดคุยกับเพื่อนๆ: ไม่ใช่ชวนกันคุยเรื่องแฟชั่น เสื้อผ้า ดูหนัง หรือฟังเพลงนะคะแต่เป็นการพูดคุยเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับเนื้อหาวิชาที่เราจะสอบ ถ้าจะให้ดีควรหากลุ่มเพื่อนสนิทแล้วเริ่มอ่านหนังพร้อมกัน และเมื่ออ่านจบก็ควรซักถามในส่วนที่ยังไม่เข้าใจเพื่อจะได้เป็นการทบทวนความรู้ให้เพื่อนและเพื่อเพิ่มความเข้าใจให้แก่ตนเองด้วย






4. ค้นคว้าเพิ่มเติม: ในกรณีที่เรายังเข้าใจในเนื้อหาที่อ่านอย่างถ่องแท้เราก็ควรค้นคว้าเพิ่มเติมจากตำรา หรือว่าอาจารย์ผู้สอนรายวิชานั้นๆ และจดบันทึกข้อควรจำที่สำคัญๆ เพื่อทำความเข้าใจก่อนสอบ

การอุดฟัน




การอุดฟัน
ทพญ.บุรณี สมบัติพานิชงานทันตกรรม
การอุดฟันเป็นวิธีการหนึ่งในการรักษาฟันผุ วัตถุประสงค์ของการอุดฟัน เพื่อป้องกันมิให้ฟันผุลุกลามต่อไป เป็นการบูรณะฟันให้กลับมามีความสวยงามอีกครั้ง และสามารถที่จะทำหน้าที่บดเคี้ยวอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพการอุดฟันจะพิจารณาจากสิ่งต่อไปนี้กรณีที่ทันตแพทย์จะสามารถทำการรักษาด้วยการอุดฟันให้กับผู้ป่วย มีข้อพิจารณาโดยทั่วไป คือ ฟันซี่ที่ผุจะต้องไม่ลุกลามเข้าไปในโพรงประสาทฟัน และฟันจะต้องมีส่วนที่เหลือเพียงพอต่อการยึดของวัสดุที่ใช้ในการอุด นอกจากนี้ สภาพเหงือกบริเวณฟันซี่ที่จะอุดควรอยู่ในสภาพปกติ ซึ่งบางกรณีทันตแพทย์อาจแนะนำให้ผู้ป่วยขูดหินปูนก่อนที่จะทำการอุดฟัน
วิธีการอุดฟัน ทันตแพทย์จะกรอเนื้อฟันที่ผุซึ่งจะมีการติดเชื้อออก เนื้อฟันที่ผุจะมีลักษณะ นิ่ม ยุ่ย ส่วนสีของเนื้อฟันนั้นจะมีการเปลี่ยนสีหรือไม่เปลี่ยนสีก็ได้ และเมื่อทำการกรอเนื้อฟันส่วนที่ผุออกแล้ว ถ้าฟันผุลึกเข้าไปชั้นในของเนื้อฟัน ซึ่งเรียกว่า”ชั้นเนื้อฟัน” ทันตแพทย์จะทำการใส่วัสดุรองพื้น ซึ่งวัสดุดังกล่าวจะช่วยลดการเสียวฟัน เมื่อใส่วัสดุรองฟื้นแล้วทันตแพทย์จะทำการอุดฟันด้วยวัสดุที่ใช้ในการอุดฟันต่อไป ซึ่งอาจจะใช้เวลามากหรือน้อยแตกต่างกันตามสภาพฟันของผู้ป่วย



วิธีบรรเทาความเจ็บปวดในการอุดฟัน ทันตแพทย์อาจใช้ยาชาในการอุดฟัน แต่มีข้อจำกัดสำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจฯลฯ ซึ่งทันตแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาความเหมาะสมเป็นกรณีไปวัสดุที่ใช้ในการอุดฟันวัสดุที่ใช้ในการอุดฟันแบ่งเป็นชนิดใหญ่ ๆ ได้ 2 ชนิด คือ ชนิดแรก คือ วัสดุที่มีสีคล้ายฟัน ใช้ในการอุดฟันหน้า ซึ่งในปัจจุบันความต้องการความสวยงามของผู้ป่วยมีมากขึ้น จึงพัฒนาให้สามารถอุดฟันกรามหลังได้ในบางกรณี ตัวอย่างของวัสดุที่ใช้ในการอุดฟัน คือ Composite Resin, Glass ionomer Cement ชนิดที่สอง คือ วัสดุที่มีสีคล้ายโลหะ ใช้ในการอุดฟันหลังบริเวณที่จะต้องรับแรงบดเคี้ยว ตัวอย่างของวัสดุประเภทนี้คือ Amalgam ซึ่งทั้ง 2 ชนิดนี้ทันตแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาประเภทของวัสดุที่ใช้ในการอุดฟัน



ข้อปฏิบัติภายหลังการอุดฟัน สำหรับผู้ป่วยที่ได้รับการอุดฟันโดยวัสดุที่เรียกว่า Amalgam ไม่ควรเคี้ยวอาหารด้านที่อุดฟันเป็นระยะเวลา 24 ชั่วโมง เนื่องจากวัสดุที่ใช้ยังมีความแข็งแรงไม่เต็มที่ ฉะนั้นหลังจากอุดฟันแล้วจึงจะสามารถเคี้ยวอาหารด้านที่อุดฟันได้ และควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่แข็ง จากนั้นควรกลับมาให้ทันตแพทย์ขัดแต่งวัสดุที่ใช้ในการอุดฟันอีกครั้ง ส่วนผู้ป่วยที่อุดฟันหน้าไม่ควรใช้ฟันหน้าเคี้ยวอาหารที่แข็งเช่นกัน เพราะจะทำให้วัสดุที่อุดแตกได้ และการแตกของวัสดุอาจลุกลามไปถึงเนื้อฟันส่วนที่ดีได้ ส่วนในกรณีที่มีฟันผุลึกผู้ที่ได้รับการอุดฟัน อาจจะมีการเสียวฟันภายหลังการอุดฟัน จึงควรงดอาหารที่ร้อนจัดและเย็นจัด ซึ่งโดยปกติแล้วอาการเสียวฟันจะลดลงภายใน 2-3 สัปดาห์ ในกรณีที่หลังจากที่อุดฟันแล้ว 1 เดือนแล้วผู้ป่วยยังมีอาการเสียวฟันอยู่ ควรกลับมาพบทันตแพทย์เพื่อทำการแก้ไขต่อไป
ข้อแนะนำในการดูแลรักษาฟัน






การดูแลรักษาฟันเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมาก ผู้ป่วยควรจะแปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันทำความสะอาดฟันภายหลังการรับประทานอาหารทุกมื้อ นอกจากนี้ไม่ควรใช้ฟันเคี้ยวอาหารที่มีความแข็งมาก ๆ
การครอบฟันแตกต่างจากการอุดฟันอย่างไร






โดยทั่วไปการครอบฟันจะพิจารณาจากกรณีที่ฟันผุ และมีส่วนของเนื้อฟันเหลือน้อยไม่เพียงพอต่อการยึดของวัสดุที่ใช้ในการอุดฟัน ทันตแพทย์ก็จะแจ้งให้ผู้ป่วยทราบ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วขั้นตอนของการครอบฟันจะคล้ายกับการอุดฟัน โดยจะทำการกรอเนื้อฟันในส่วนที่ผุออก แต่จะทำการกรอแต่งฟันรอบ ๆ เพิ่มเติม จากนั้นก็จะพิมพ์แบบและทำการส่ง lab เพื่อที่จะทำครอบฟันมายึดให้ผู้ป่วยในครั้งต่อไป



ข้อปฏิบัติภายหลังการครอบฟัน



1. หลีกเลี่ยงการใช้ครอบฟันเคี้ยวอาหารแข็ง หรือเหนียว



2. หากมีอาการเสียวฟัน หรือเจ็บฟัน ภายหลังการใส่ครอบฟันเกินกว่า 3 สัปดาห์ ให้กลับมาพบทันตแพทย์



3. หากครอบฟันหลุด หรือแตกหักให้กลับมาพบทันตแพทย์



4. ควรทำความสะอาดฟันด้วยการแปรงฟันให้ถูกวิธี โดยเน้นบริเวณขอบเหงือก และให้ใช้ไหมขัดฟันอย่างสม่ำเสมอ



5. ควรพบทันตแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพในช่องปากทุก 6 เดือนอ่านต่อ

Frankenstein





Frankenstein or, The Modern Prometheus, is a novel about a failed monster experiment that produced a monster, written by Mary Shelley, with inserts of poems by Percy Shelley. Shelley started writing the story when she was eighteen, and the novel was published when she was twenty-one.




The first edition was published anonymously in London in 1818. Shelley's name appears on the second edition, published in France in 1823.



Shelley had travelled the region in which the story takes place, and the topics of galvanism and other similar occult ideas were themes of conversation among her companions, particularly her future husband Percy Bysshe Shelley. The actual storyline was taken from a dream. Shelley was talking with three writer-colleagues,Percy Bysshe Shelley, Lord Byron, and John Polidori, and they decided they would have a competition to see who could write the best horror story. After thinking for weeks about what her possible storyline could be, Shelley dreamt about a scientist who created life and was horrified by what she had made. Then Frankenstein was written.



Frankenstein is infused with some elements of the Gothic novel and the Romantic movement and is also considered to be one of the earliest examples of science fiction. Brian Aldiss has argued that it should be considered the first true science fiction story, because unlike in previous stories with fantastical elements resembling those of later science fiction, the central character "makes a deliberate decision" and "turns to modern experiments in the laboratory" to achieve fantastic results. The story is partially based on Giovanni Aldini's electrical experiments on dead and (sometimes) living animals and was also a warning against the expansion of modern humans in the Industrial Revolution, alluded to in its subtitle, The Modern Prometheus. It has had a considerable influence across literature and popular culture and spawned a complete genre of horror stories and films.





The name "Frankenstein" – actually the novel's human protagonist – is often incorrectly used to refer to the monster itself. In the novel, the monster is identified via words such as "monster", "fiend", "wretch", "vile insect", "daemon", and "it"; The monster refers to himself speaking to Dr. Frankenstein as "the Adam of your labors", and elsewhere as someone who "would have" been "your Adam", but is instead your "fallen angel."

History of Halloween









History of Halloween, like any other festival's history is inspired through traditions that have transpired through ages from one generation to another. We follow them mostly as did our dads and grandpas. And as this process goes on, much of their originality get distorted with newer additions and alterations. It happens so gradually, spanning over so many ages, that we hardly come to know about these distortions. At one point of time it leaves us puzzled, with its multicolored faces. Digging into its history helps sieve out the facts from the fantasies which caught us unaware. Yet, doubts still lurk deep in our soul, especially when the reality differs from what has taken a deep seated root into our beliefs. The history of Halloween Day, as culled from the net, is being depicted here in this light.





This is to help out those who are interested in washing off the superficial hues to reach the core and know things as they truly are. 'Trick or treat' may be an innocent fun to relish on the Halloween Day. But just think about a bunch of frightening fantasies and the scary stories featuring ghosts, witches, monsters, evils, elves and animal sacrifices associated with it. They are no more innocent. Are these stories a myth or there is a blend of some reality? Come and plunge into the halloween history to unfurl yourself the age-old veil of mysticism draped around it.halloween historybobbingBehind the name... Halloween, or the Hallow E'en as they call it in Ireland , means All Hallows Eve, or the night before the 'All Hallows', also called 'All Hallowmas', or 'All Saints', or 'All Souls' Day, observed on November





1. In old English the word 'Hallow' meant 'sanctify'. Roman Catholics, Episcopalians and Lutherians used to observe All Hallows Day to honor all Saints in heaven, known or unknown. They used to consider it with all solemnity as one of the most significant observances of the Church year. And Catholics, all and sundry, was obliged to attend Mass. The Romans observed the holiday of Feralia, intended to give rest and peace to the departed. Participants made sacrifices in honor of the dead, offered up prayers for them, and made oblations to them. The festival was celebrated on February 21, the end of the Roman year. In the 7th century, Pope Boniface IV introduced All Saints' Day to replace the pagan festival of the dead. It was observed on May 13. Later, Gregory III changed the date to November





1. The Greek Orthodox Church observes it on the first Sunday after Pentecost. Despite this connection with the Roman Church, the American version of Halloween Day celebration owes its origin to the ancient (pre-Christian) Druidic fire festival called "Samhain", celebrated by the Celts in Scotland, Wales and Ireland. Samhain is pronounced "sow-in", with "sow" rhyming with cow. In Ireland the festival was known as Samhein, or La Samon, the Feast of the Sun. In Scotland, the celebration was known as Hallowe'en. In Welsh it's Nos Galen-gaeof (that is, the Night of the Winter Calends. According to the Irish English dictionary published by the Irish Texts Society: "Samhain, All Hallowtide, the feast of the dead in Pagan and Christian times, signalizing the close of harvest and the initiation of the winter season, lasting till May, during which troops (esp. the Fiann) were quartered. Faeries were imagined as particularly active at this season. From it the half year is reckoned. also called Feile Moingfinne (Snow Goddess).(1) The Scottish Gaelis Dictionary defines it as "Hallowtide. The Feast of All Soula. Sam + Fuin = end of summer."(2) Contrary to the information published by many organizations, there is no archaeological or literary evidence to indicate that Samhain was a deity. The Celtic Gods of the dead were Gwynn ap Nudd for the British, and Arawn for the Welsh. The Irish did not have a "lord of death" as such. Thus most of the customs connected with the Day are remnants of the ancient religious beliefs and rituals, first of the Druids and then transcended amongst the Roman Christians who conquered them.

ประเพณีต่างๆ ในคืนวันฮาโลวีน








สหรัฐอเมริกา Jack-O'-Lanterns




การทำ Jack-O'-Lanterns คือ การคว้านเมล็ดในของผลฝักทองออกให้หมดแล้วเจาะด้านหนึ่งของผลฝักทองให้เป็นรูปหน้าคนโดยมี ตา จมูก และปาก และใส่เทียนไข หรือโคมไฟประเภทอื่น ๆ ไว้ภายใน เพื่อใช้เป็นเครื่องประดับตกแต่งบ้าน ชาวอังกฤษและชาวไอริชในสมัยโบราณเคยใช้หัวผักกาด (beets) มันฝรั่งและหัวเทอร์นิบ (turnips) เป็นโคมไฟในวันฮาโลวีน เมื่อเทศกาลฮาโลวีนแพร่หลายมาสู่ประเทศสหรัฐอเมริกาจึงเปลี่ยนมาใช้ผลฝักทองแทน เหตุที่ได้ชื่อว่า Jack-O'-Lantern เนื่องมาจากมีตำนานเล่าว่ามีชายคนหนึ่งที่ชื่อ แจ๊ค ซึ่งเป็นนักเล่นกลจอมขี้เมา วันหนึ่งเขาหลอกล่อปีศาจขึ้นไปบนต้นไม้ และเขียนกากบาทไว้ที่โคนต้นไม้ ทำให้ปีศาจลงมาไม่ได้ จากนั้นเขาได้ทำข้อตกลงกับปีศาจ 'ห้ามนำสิ่งไม่ดีมาหลอกล่อเขาอีก' แล้วเขาจะปล่อยปีศาจลงจากต้นไม้ เมื่อแจ็คตายลง เขาปฏิเสธที่จะขึ้นสวรรค์ ขณะเดียวกันปฏิเสธที่จะลงนรก ปีศาจจึงให้ถ่านที่กำลังคุแก่เขา เพื่อเอาไว้ปัดเป่าความหนาวเย็นท่ามกลางความมืดมิด และแจ็คได้นำถ่านนี้ใส่ไว้ในหัวผักกาดเทอนิพที่ถูกเจาะให้กลวง เพื่อให้ไฟลุกโชติช่วงได้นานขึ้น ชาวไอริชจึงแกะสลักหัวผักกาดเทอนิพ และใส่ไฟในด้านใน อันเป็นอีกสัญลักษณ์ของวันฮาโลวีน เพื่อระลึกถึง 'การหยุดยั้งความชั่ว' Trick or Treat เพื่อส่งผลบุญให้กับญาติผู้ล่วงลับ และพิธีทางศาสนาเพื่อทำบุญวันปีใหม่ แต่เมื่อมีการฉลองฮาโลวีนในสหรัฐอเมริกา ชาวอเมริกาพบว่า ฟักทองหาง่ายกว่าหัวผักกาดมาก จึงเปลี่ยนมาใช้ฟักทองแทน หัวผักกาดจึงกลายเป็นฟักทองด้วยเหตุผลฉะนี้
















Trick or Treat



นอกจากนี้ในสหรัฐอเมริกายังมีการละเล่นอีกอย่างหนึ่งที่เด็กๆ เฝ้ารอคอย ในวันฮาโลวีนตามบ้านเรือนจะตกแต่งด้วยโคมไฟฟักทองและตุ๊กตาหุ่นฟางที่เป็นส่วนหนึ่งของเทศกาลประเพณีเก็บเกี่ยว (Harvest) ในช่วงเดียวกันนั้น แต่ละบ้านจะเตรียมขนมหวานที่ทำเป็นรูปเม็ดข้าวโพดสีขาวเหลืองส้มในเม็ดเดียวกัน เรียกว่า Corn Candy และขนมอื่นๆไว้เตรียมคอยท่า ส่วนเด็กๆ ในละแวกบ้านก็จะแต่งตัวแฟนซีเป็นภูตผีมาเคาะตามประตูบ้าน โดยเน้นบ้านที่มีโคมไฟฟักทองประดับ (เพราะมีความหมายโดยนัยว่าต้อนรับพวกเขา) พร้อมกับถามว่า "Trick or Treat?" เจ้าของบ้านมีสิทธิที่จะตอบ treat ด้วยการยอมแพ้ มอบขนมหวานให้ภูตผี(เด็ก)เหล่านั้น ราวกับว่าช่างน่ากลัวเหลือเกิน หรือเลือกตอบ trick เพื่อท้าทายให้ภูตผีเหล่านั้นอาละวาด ซึ่งก็อาจเป็นอะไรได้ ตั้งแต่แลบลิ้นปลิ้นตาหลอกหลอน ไปจนถึงขั้นทำลายข้าวของเล็กๆ น้อยๆ แล้วอาจจบลงด้วยการ treat เด็กๆ ด้วยขนมในที่สุด













































ทำไมวันฮาโลวีนต้องมี "ฟักทอง" ????













... เรื่องราวของฟักทองกับวันฮาโลวีนนั้น มีเรื่องราวเล่ากันมาจากนิทานปรัมปราขอ​งชาวไอริชที่เล่าถึง แจ๊คจอมตืด ซึ่งเป็นนักเล่นกลจอมขี้เมา วันหนึ่งเขาหลอกล่อปีศาจขึ้นไปบนต้นไม้ และเขียนกากบาทไว้ที่โคนต้นไม้ ทำให้ปีศาจลงมาไม่ได้ จากนั้นเขาได้ทำข้อตกลงกับปีศาจ "ห้ามนำสิ่งไม่ดีมาหลอกล่อเขาอีก" แล้วเขาจะปล่อยปีศาจลงจากต้นไม้ เมื่อแจ็คตายลง เขาปฏิเสธที่จะขึ้นสวรรค์ ขณะเดียวกันปฏิเสธที่จะลงนรก ปีศาจจึงให้ถ่านที่กำลังคุแก่เขา เพื่อเอาไว้ปัดเป่าความหนาวเย็นท่ามกลางความมืดมิด และแจ็คได้นำถ่านนี้ใส่ไว้ในหัวผักกาดเทอนิพที่ถูกเจาะให้กลวง เพื่อให้ไฟลุกโชติช่วงได้นานขึ้น ชาวไอริชจึงแกะสลักหัวผักกาดเทอนิพ และใส่ไฟในด้านใน อันเป็นอีกสัญลักษณ์ของวันฮาโลวีน เพื่อระลึกถึง "การหยุดยั้งความชั่ว" Trick or Treat เพื่อส่งผลบุญให้กับญาติผู้ล่วงลับ และพิธีทางศาสนาเพื่อทำบุญวันปีใหม่ แต่เมื่อมีการฉลองฮาโลวีนในสหรัฐอเมริกา ชาวอเมริกาพบว่า ฟักทองหาง่ายกว่าหัวผักกาดมาก จึงเปลี่ยนมาใช้ฟักทองแทน หัวผักกาดจึงกลายเป็นฟักทองด้วยเหตุผลนี้เอง






นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งเรื่องเล่าที่คล้ายคลึงกันเกี่ยวกับ ซาตานกำลังจะไปรับวิญญาณของคนเจ้าเล่ห์ที่ชื่อว่าเเจ็ค(อีกแล้ว) แจ๊คจึงชวนให้ซาตานดื่มเหล้าด้วยกัน และหลอกล่อให้ซาตานแปลงร่างเป็นเหรียญเพื่อนำไปจ่ายค่าเหล้า และแจ็คก็นำเหรียญนั้นไปใส่รวมไว้กับไม้กางเขน ทำให้ซาตานแปลงกลับมาเป็นร่างเดิมไม่ได้ ซาตานจึงต้องสัญญากับเเจ๊คว่าจะไม่มายุ่งกับเขาอีกเป็นเวลาหนึ่งปี และถ้าเขาตายเมื่อไหร่ ซาตานก็ไม่มีสิทธิเอาวิญญาณของเขาไป จากนั้นหนึ่งปีผ่านไป ซาตานก็กลับมาอีก คราวนี้เเจ็คหลอกล่อให้ซาตานปีนไปเก็บแอปเปิ้ลบนต้น และแอบสลักรูปกางเขนไว้บนต้นแอปเปิ้ล ซาตานจึงลงมาไม่ได้ และถูกบังคับให้สัญญาอีกตามเคยว่าจะไม่มายุ่งกับแจ๊คไปอีกสิบปี สิบปีผ่านไปนายแจ๊คตายลงแต่สวรรค์ก็ไม่ต้อนรับเพราะเป็นคนเจ้าเล่ห์ นรกก็ไปไม่ได้เพราะดันบังคับให้ซาตานสัญญาไว้ จึงต้องกลายเป็นวิญญาณเร่ร่อนมีเพียงก้อนถ่านที่ซาตานให้ไว้คอยส่องแสงนำทาง และเพื่อรักษาถ่านให้ส่องสว่างนานที่สุด วิญญาณของนายแจ็คจึงคว้านหัวผักกาดแล้วใส่ก้อนถ่านลงไป คนไอริชจึงเรียกผีแจ็กกับตะเกียงว่า Jack of Lantern (และเพี้ยนมาเป็น Jack O'Lantern) ต่อมาเมื่อถึงวันฮัลโลวีนชาวเมืองจึงทำตะเกียงแจ็กด้วยการแกะสลักหัวผักกาดให้เป็นหน้าตาน่ากลัว นำไฟใส่ไว้ด้านในเพื่อขับไล่ผีแจ็กและวิญญาณต​่างๆ จนภายหลังก็เปลี่ยนจากการใช้หัวผักกาดมาเป็นฟ​ักทองเพราะหาได้ง่ายกว่า

10 สถานที่อันตรายของโลก (มันน่ากลัว)

อันดับ 10 Great Pacific Garbage Patch แพขยะใหญ่แปซิฟิก (Great Pacific Garbage Patch) ซึ่งเรียกอีกชื่อหนึ่งได้ว่า แพขยะตะวันออก หรือ วงวนขยะแปซิฟิก (Pacific Trash Vortex) คือวงวนใหญ่ของขยะมหาสมุทร (marine litter) ที่อยู่ส่วนกลางของมหาสมุทรแปซิฟิกเหนือแพขยะมีลักษณะของการรวมตัวอย่างเข้มของขยะพลาสติกและขยะอื่นที่ถูกกักรวมได้ ด้วยกระแสวงวนใหญ่แปซิฟิกเหนือ จนแพขยะมีขนาดใหญ่มหาศาลและหนาแน่นจน มีผลต่อสภาพแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นสารพิษ, ผลกระทบต่อสัตว์บกสัตว์ทะเล จนถึงขณะนี้ไม่มีวิธีใดที่จะกำจัดขยะเหล่านี้ได้ นอกจากนั้นมันยังเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็วในหลายปีทีผ่านมา จนกลายเป็นปัญหาใหญ่ของสหรัฐและของโลกเป็นที่เรียบร้อย


อันดับ 9 Izu Islandsหมู่เกาะอิสุ เป็นหมู่เกาะภูเขาไฟที่เรียงรายอยู่ทางทิศใต้และตะวันออกของคาบสมุทรอิสุในเกาะฮอนชู ประเทศญี่ปุ่น ตามเขตการปกครองแล้ว ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของกรุงโตเกียว เกาะที่ใหญ่ที่สุด คือ เกาะอิสุโอชิม่า มักเรียกสั้นๆว่า เกาะโอชิม่า ประกอบด้วย 9 เกาะคือ เกาะอิสุโอชิม่า หรือเกาะโอชิม่า, เกาะโทชิม่า, เกาะนิอิ, เกาะชิกิเนะ, เกาะโคสุ, เกาะมิยาเกะ, เกาะมิคุระ, เกาะฮาจิโจ, เกาะอาโองะ ในสมัยเอโดะ เกาะนิอิ เกาะมิยาเกะ และเกาะฮาจิโจ ถูกเลือกให้เป็นสถานที่สำหรับเนรเทศนักโทษ ต่อมาเมื่อ ถึงปี 2000 ได้เกิดเหตุภูเขาไฟระเบิด และพ่นแก๊สพิษออกมาจำนวนมาก ทำให้ต้องมีการอพยพประชาชนออกจากเกาะมิยาเกะ จนกระทั่งเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2005 ผู้ที่เคยอาศัยอยู่บนเกาะอิซุจึงได้รับอนุญาตให้กลับไปอาศัยอยู่ได้ แต่จำเป็นต้องมีหน้ากากกันแก๊สพิษและต้องมีเตรียมพร้อมสำหรับเหตุระเบิดใน อนาคต ทำให้ปัจจุบันที่แห่งนี้มีกลิ่นกำมะถันเต็มไปหมด






อันดับ 8 Door to Hellสถานที่นี้ถูกขนานนามว่า ประตูสู่นรก(Door to Hell) อยู่ใกล้เมืองเล็กๆเมืองหนึ่งของ Darvaz ในประเทศเติร์กเมนิสถานน โดยการค้นพบสถานที่แห่งนี้เกิดขึ้นเมื่อปี 1970 นักธรณีวิทยาได้ทำการขุดเจาะหาก๊าซอยู่นั้น พวกเขาก็ได้พบกับถ้ำขนาดใหญ่ที่อยู่ใต้พื้นดิน ซึ่งมันใหญ่มาก ใหญ่ซะจนกลืนกินเครื่องมือในการขุดเจาะของพวกเขาไปจนหมด นักธรณีวิทยาเหล่านั้นไม่มีใครกล้าลงไปในหลุมเพราะมันเต็มไปด้วยแก๊สพิษ ดังนั้นพวกเขาจึงจุดไฟเพื่อที่จะเผาไหม้แก๊สให้หมดไป แต่!!!จนถึงตอนนี้ 35 ปีแล้วไฟที่จุดยังไม่เคยดับลงแม้แต่วินาทีเดียว และไม่สามารถคาดเดาได้ว่ามันจะดับลงเมื่อไหร่ อีกทั้งไม่มีใครกล้าลงไปสำรวจ






อันดับ 7 Alnwick Poison Gardensเมืองอาร์นวิค (Alnwick) ใน อดีตเคยเป็นเมืองหลวงของมณฑลนอร์ทธัมเบอร์แลนด์ของสหราชอาณาจักร ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำอาร์นซึ่งไหลผ่านใจกลางของเขตอาร์นวิค และเขตชนบทของมณฑลนอร์ทธัมเบอร์แลนด์ สถานที่ท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อของเมืองอาร์นวิค คือสวนพฤษศาสตร์ที่ตั้งอยู่ที่ เดนวิค, เมืองอาร์นวิค, NE66 1YU, อังกฤษ สวนอลานวิคเป็นสวนที่สวยงาม และเปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชมเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 2002 และในปี ค.ศ. 2005 โดย สวนแปลกที่เราจะไปท่องเที่ยวคือพอยซัน การ์เด็นหรือสวนที่รวมต้นไม้มีพิษและเป็นเส้นทางเขาวงกต (สร้างขึ้นเมื่อปี 1500) มีพืชมีพิษจำนวนมากจำพวกมะเขือพวง ยาสูบ และนอกจากนี้ยังมีพืชต้องห้ามต่างๆ เช่น กัญชา, โคคา ซึ่งเราสามารถพบพืชมีพิษเหล่านี้ได้ที่นี่เท่านั้น






อันดับ 6 Asbestos Mineเหมืองแร่ใยหินหรือแอสเบสตอส(Asbestos) ตั้งอยู่ที่ Thetford-Mines, รัฐควิเบก,แคนาดา เป็นเหมืองแร่ขนาดใหญ่ที่ขุดเพื่อเอรแอสเบสตอสซึ่งเป็นแร่ที่เกิดตามธรรมชาติที่มีลักษณะเป็นใยหิน ซึ่งมีคุณสมบัติแข็งแรงและทนทานต่อความร้อนสูง ใช้ในการผสมเป็นวัตถุดิบ เพื่อการก่อสร้างและผลิตอุปกรณ์ หรือสิ่งของต่างๆมากมาย เช่นเป็นฉนวนกันความร้อน ทำผ้าเบรกและ ครัช กระเบื้องมุงหลังคา และท่อซีเมนต์ แต่สิ่งเหล่านี้ก่อให้เกิดมะเร็งและโรคอื่นๆ และที่อันตรายที่สุดคือคนงานในเมืองที่จำเป็นดมแร่แอสเบสตอสมากมาย จนเอสเบสทอสถูกสั่งห้ามใช้ในยุโรปและแคนาดาแล้ว แต่เหมืองเอสเบสทอสยังคงมีอยู่....เพื่อส่งแอสเบสทอสไปขายในประเทศกำลังพัฒนา ซึ่ง ในฤดูร้อนก็เปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยว มีรถทัวร์ชมรอบๆ เหมือง หากคุณจะไปเที่ยวขอให้เตรียมพร้อมกับอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับตัวคุณ ไว้ด้วย




Ramree Islandเมื่อ วันที่ 19 กุมภาพันธ์ปี 1945 ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ทหารญี่ปุ่นประมาณ 900-1,000 นาย ประจำการอยู่ด้านหนึ่งบน "เกาะรามรีย์" นอกชายฝั่งพม่า เพื่อนบ้านของเรานี่เอง เพื่อสู้รบกับฝ่ายสัมพันธมิตร ทหารญี่ปุ่นต่อสู่ไม่ถ้อย แต่กระนั้นก็ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ ทำให้จำเป็นต้องถอยหนี พวกทหารญี่ปุ่นจังมุ่งหน้ารวมกลุ่มหนึ่งที่ฝากหนึ่งของเกาะและ นี้เป็นจุดเริ่มต้น ของคืนที่สยดสยองที่ทหารญี่ปุ่นในเวลานั้นลืมไม่ลง ทหารญี่ปุ่นที่เหลือ 1000 นาย ได้รวมกลุ่มเพื่อไปอีกฟากหนึ่งของเกาะ โดยพวกเขาจำเป็นต้องผ่านมีบึงขนาด 16 กม. เท่านั้น และระหว่างที่พวกเขาลุยผ่านบึงนั้นพวกเขาได้ถูกจู่โจมจากฝ่ายศัตรู แต่ไม่ใช้พวกพันธมิตร หากแต่เป็นสัตว์เลื่อยคลานชนิดหนึ่ง“มันคือจระเข้”จระเข้ ยักษ์ที่ตะกละตะกลาม จำนวนมากโจมตีทหารญี่ปุ่น อย่างดุร้ายและบ้าคลั่ง ค่อยๆ หายไปทีละคนๆ ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายและเสียงปืนที่ยิงสะเปะสปะ เหล่าทหารญี่ปุ่น 3 ใน 4 ไม่ รอดจากเหตุการณ์บึงมรณะครั้งนั่น คนส่วนใหญ่ที่รอดมาได้ก็บาดเจ็บสาหัส แต่ยังมีชีวิตและสติอยู่มากพอจะภาวนาขอให้ตายไปเสียยังจะดีกว่า และในเหตุการณ์ในครั้งนั้นกินเนสบุ๊คยกให้เป็น "โศกนาฏกรรมที่เลวร้ายที่สุดที่เกิดจากสัตว์




"ปัจจุบัน เกาะรัมรี (Ramree Island) เป็น ส่วนหนึ่งของจ๊อกปะยู ติดกับชายฝั่งอ่าวเบงกอล ในรัฐยะไข่ มีสนามบินพาณิชย์ มีสะพานและถนนเชื่อมกับแผ่นดิน อยู่ห่างจากเมืองท่าซิตต่วย (Sittwe) ลงมาทางทิศใต้ 200 ก.ม.เศษ ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มของระบบทางหลวงที่ไปเชื่อมกับเมืองมะกวย(Magwe) เมืองเม็กติลา (Meiktila) ในเขตมัณฑะเลย์ และเมืองตองยี (Taunggyi) กับเชียงตุง ในรัฐฉาน และถึงชายแดนไทย-จีนเกาะรามรีย์นั้น ไม่ได้มีชื่อเสียงเพียงแค่เป็นแหล่งของยุงพาหนะไข้มาลาเรีย, แมลง วันที่วางไข่ในแผล และแมงป่องที่มีพิษร้ายเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสัตว์ร้ายที่สร้างความหวาดกลัวต่อทหารญี่ป่นในสงครามโลกครั้ง ที่ 2 ด้วยนั้นคือ "จระเข้น้ำเค็ม" ที่ซ่อนตัวอยู่ในบึง ซึ่งมีอยู่มากมายนับหลักพันตัว! จนได้ขนานนามว่า “เกาะแห่งจระเข้กินคน”













อันดับ 4 Yungas Roadถนนยุงกัส(Yungas Road) เป็นภาษาท้องถิ่นมีความหมายว่า ถนนแห่งความตาย เป็นถนนเส้นทางสายมรณะ อยู่ในตะวันออกเฉียงเหนือของลาปาซ(La Paz) ประเทศโบลิเวีย และได้ถูกบันทึกว่าเป็นถนนที่อันตรายสุดขีดสำหรับนักขับขี่ในโลก อดีตถนนสายนี้สร้างโดยนักโทษชาวปารากวัยในระหว่างสงครามโบลิเวีย-ปารากวัยใน ปี 1932-35 เพื่อใช้เป็นเส้นทางเชื่อมต่อระหว่างตอนเหนือของประเทศ ถนนมีความยาวทั้งหมด 70 กิโลเมตร จากเมือง ลาปาซถึงเมือง Coroico ทางโค้งสุดแคบยาวเกือบ 3,600 เมตร โดยที่ข้างๆ เป็นเหวลึก 800 เมตรรอรับรถที่พลาดท่าอยู่! แต่ละปีจะมีคนเกิดอุบัติเหตุและเสียชีวิตเพราะถนนเส้นนี้ 100-200 ราย สาเหตุที่ตายเยอะเนื่องจากถนนที่กว้างแค่ช่องทางเดียวเลนเดียว(กว้างไม่เกิน 3.2 เมตร) และไต่ระดับความสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ และ ลดระดับลงอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังมีการเปลี่ยนสภาพภูมิอากาศจากหนาวเป็นร้อนชื้นอย่างฉับพลันเกิด หมอกในบริเวณนั้น แต่แทนที่จะมีผู้เข็ดขยาดกลับเป็นสิ่งท้าทายให้คนไปเยือนจนถนนสายนี้กลาย เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ขาดไม่ได้สำหรับนักท่องเที่ยวผู้ไปเยือนประเทศ โบลิเวีย ในที่สุด













อันดับ 3 Mud Volcanoes of Azerbaijanในฤดูใบไม้ผลิของปี 2001 ภูเขาไฟใต้ทะเลแคสเOยน(Caspian) ที่ติดชายฝั่ง Azeri ของ อาเซอร์ไบจานได้เกิดระเบิดขึ้น จำนวนผู้เสียชีวิตไม่มีเพราะมีคำเตือนและอพยพได้ทันเวลา แต่กระนั้นผลลัพท์ที่ได้คือเกิดภูเขาไฟโคลน หรือ "เนินโคลนผุด" ที่แปลว่าโคลนเหลวที่เกิดขณะมีการปะทุของภูเขาไฟ เป็นโคลนที่มีรูปร่างคล้ายรูปโดม เกิดจากกระบวนการทางธรณีวิทยา ทำให้ติดไฟง่ายและเกิดก๊าซพิษ แต่กระนั้นมันก็สวยงามแปลกตาอย่างมาก และจนได้เป็นรับเลือกเป็นหนึ่ง 28 สถานที่งดงามตามธรรมชาติของโลกที่ผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายเพื่อสรรหา 7 สิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติแห่งใหม่ และอาเซอร์ไบจานได้ขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่มีโคลนภูเขาไฟเยอะที่สุดในโลก














อันดับ 2 The Zone of Alienationเมื่อวันที่ 26 เมษายน ปี 1986 เกิดเหตุการณ์ที่โลกจ้องจารึกเมื่อเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ของโรงไฟฟ้า ในเมืองเชอร์โนบิล (สมัยนั้นยังเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต) เกิดการระเบิด ส่งผลให้ให้เตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์หมายเลข 4 ระเบิด สารกัมมันตรังสีเกือบทั้งหมดแพร่กระจายสู่บรรยากาศ ในรัศมี 30 กิโลเมตรมีการเปรอะเปื้อนรังสีสูง ถูกประกาศเป็นเขตอันตราย (Zone of alienation) สารกัมมันตภาพรังสีลอยออกไปปนเปื้อนทั้งในอากาศ แม่น้ำ ผืนดิน ทั่วทวีปยุโรปกว่า 3.9 ล้านตารางกิโลเมตร สร้างความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สินเป็นอย่างมาก นับว่าเป็นหายนะภัยจากโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ที่รุนแรงที่สุดในโลกแม้จะผ่านไปเป็นเวลา 21 ปี 2 ทศวรรษ หลังของการระเบิดของโรงงานพลังไฟฟ้านิวเคลียร์เชอร์โนบิล เมืองเชอร์โนบิลยังคงเป็นเมืองร้างและอันตรายที่สุดแห่งหนึ่งของโลก แม้อดีตนั้นจะเป็นเมืองที่มีความเจริญที่จุดเด่นคือเสาชิงช้าสวรรค์ขนาดใหญ่ ที่เด่นงามสง่าและตึกสูงมากมาย แต่จนบัดนี้กลับกลายเป็นซากเหล็กซากปูนที่น่าขนลุกขนพอง เป็นเมืองที่ไม่มีสิ่งมีชีวิตทุกชนิด บริเวณในรัศมี19 ไมล์ รอบ ๆ โรงไฟฟ้าแห่งนี้ก็ยังเป็นบริเวณที่อยู่อาศัยไม่ได้ ซ้ำยังคงมีกัมมันตภาพรังสีหลงเหลืออยู่ อีกทั้งของเหลวเป็นพิษและปนเปื้อนในน้ำและอากาศจนไม่สามารถดื่มกินได้














อันดับ 1 Ilha de Queimada Grandeเกาะ Queimada Grande หรือ “เกาะงูคลั่ง” เป็นเกาะที่ตั้ง อยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเภทบราซิล เป็นเกาะที่ไม่มีมนุษย์อาศัยอยู่และไม่กล้ารุกราน อันเนื่องจากเกาะนี้เต็มไปด้วนงูพิษที่สามารถฉกคุณได้ทุกเวลาหากคุณเข้ามา ยังเกาะแห่งนี้โดยเฉพาะงูพิษพิเศษ Golden Lancehead (Bothrops insularis) pitviper มีพิษรุนแรงมาก พิษของมันรุนแรงมากกว่างูพิษบนแผ่นดินใหญ่ถึงห้าเท่า กัดทีเดียวตายทันที และจัดว่าเป็นงูถิ่นเดียวที่มีถิ่นอาศัยอยู่บนเกาะที่เท่านั้น และมีอาศัยอยู่หนาแน่นสูงมาก(จำนวนหนึ่งตัวต่อหนึ่งพื้นที่) งู ประมาณกันไว้ว่ามีมากกว่า 5,000 ตัวบนเกาะเลยทีเดียว(งูชนิดนี้มีรูปแบบของเพศที่แปลกคือ มีตัวผู้แท้ มีตัวเมียแท้ และมีกระเทยแท้ ) และสถานที่แห่งนี้จัดว่าเป็นสถานที่อันตรายที่ต้องใช้ใบอนุญาตในการเข้าเท่านั้น


































วันศุกร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2554

เทคนิกการฝึกสมองให้ดูฉลาดอยู่เสมอ












สมองคือส่วนสำคัญที่สุดของคนในการคิด ฝึกหัด กลั่นกรองข้อมูลข่าวสารเรื่องราวต่างๆ หากสมองขาดการคิดและการกระตุ้น ก็ไม่ต่างอะไรกับซอมบี้ และหากขาดการใช้งานบ่อยๆ เซลล์ต่างๆ ที่สำคัญที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับความสามารถ ประสิทธิภาพด้านต่างๆ ก็จะดูด่อยค่าลงอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้น คนเราจึงจำเป็นต้องบริหารสมองอยู่เสมอ การฝึกสมองมีหลายเทคนิคให้เลือกใช้ แต่จงใช้อย่างมีประสิทธิภาพให้มากที่สุด วันนี้จะมาเขียนเรื่องราวของ ทำอย่างไรให้สมองเราสามารถใช้งานได้ดี และมีเทคนิคการฝึกสมองอย่างไร ให้เราเป็นคนฉลาดอยู่เสมอ



จิบน้ำบ่อยๆ (Drink water very often) สมองประกอบด้วยน้ำ 85 % เชลล์สมอง ก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าไม่มีน้ำ ต้นไม้ก็เหี่ยว ถ้าไม่อยากให้เชลล์สมองเหี่ยว ซึ่งส่งผลให้การส่งข้อมูลช้า กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออก แต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อย ๆ



กินไขมันดี (Enjoy good Omega 3) คนไม่ค่อยรู้ว่าสมองคือก้อนไขมัน ซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ แนะนำให้กินไขมันดีระหว่างวัน จำพวกน้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วยปลาที่มีไขมันดีอย่าง ปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง วิตามินรวม น้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดี ที่ทำให้เชลล์ชุ่มน้ำ ส่วนวิตามินซีกินแล้วสดชื่น



นั่งสมาธิวันละ 12 นาที (Meditation 12 min a day) หลังจากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาที เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Theta ซึ่งเป็นคลื่นที่ ผ่อนคลายสุด ๆ ทำให้สมองมี Mental Imagery สามารถจินตนาการ เห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์ ( ถ้าทำไม่ได้ตอนเช้า ) ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน



ใส่ความตั้งใจ (Program the brain: have specific intention) การตั้งใจในสิ่งใดก็ตาม เหมือนการโปรแกรมสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิด ระหว่างวันสมองจะปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้น ทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่าง ๆ เพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่งที่ทำจริงกับสิ่งที่คิดขึ้น ทั้งสองอย่างจึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน



หัวเราะและยิ้มบ่อยๆ (Laugh and Smile) ทุกครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอ็นโดรฟินซึ่งเป็นสารแห่งความสุข หลั่ง

ออกมาเท่ากับเป็นการกระตุ้น ให้มีความอยากรักและหวังดีต่อคนอื่นไปเรื่อย ๆ



เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน (Learn new thing everyday) สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึง สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหารร้านใหม่ ๆ รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่ คุยกับเพื่อนร่วมงานและเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา เป็นต้น เพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ทำให้สมองหลั่งสารเอ็นโดรฟิน และโดปามีน ซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และ สร้างสรรค์ ไปเรื่อย ๆ เมื่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์



ให้อภัยตัวเองทุกวัน (Forgive yourself, reduce brain stress) ขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง การให้อภัยตัวเอง เป็นการลดภาระของสมอง



เขียนบันทึก Graceful Journal (Write graceful journal, good things in life every day) ฝึก เขียนขอบคุณสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึก เช่น ขอบคุณที่มี ครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพที่ดี ขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข เป็นต้น เพราะการเขียนเรื่องดี ๆ ทำให้สมองคิดเชิงบวก พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา ช่วยให้หลับฝันดี ตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มีความคิดสร้างสรรค์



ฝึกหายใจลึกๆ (Deep breath) สมองใช้ออกซิเจน 20 .25% ของออกซิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึก ๆ จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงานนาน ๆ อาจหาเวลายืนหรือเดินยึดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยายใหญ่ สามารถหายใจเอาออกซิเจนเข้าปอดได้เพิ่มขึ้นอีก 20 % การมีสมองที่ดีก็เหมือนทักษะทุกอย่างในโลกที่ เรียนรู้ได้ แต่จะเก่งหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการฝึกฝน ถ้าเราดูแลและฝึกฝนสมองให้ดี คุณภาพชีวิตก็จะดีตาม






ขอขอบคุณข้อมูลจาก : beauty.vwander.com

ความเป็นมาของกูเกิ้ล





ต้นกำเนิดกูเกิล

ป้ายต้อนรับหน้าบริษัทกูเกิลที่ กูเกิลเพล็กซ์
กูเกิลเริ่มก่อตั้งเมื่อ มกราคม พ.ศ. 2539 จากโครงงานวิจัยสำหรับดุษฎีนิพนธ์ของ แลร์รี เพจ และเซอร์เกย์ บริน นักศึกษามหาวิทยาลัยปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด จากสมมุติฐานของเสิร์ชเอนจินที่สามารถวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของของเว็บไซต์ มาจัดอันดับการค้นหาที่เรียกว่าเพจแรงก์ โดยชื่อเสิร์ชเอนจินที่ตั้งมาในตอนนั้นชื่อว่า "แบ็กรับ" (BackRub) ตามความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลการลิงก์ย้อนกลับไป (back links) เพื่อวิเคราะห์ความสำคัญของแต่ละเว็บไซต์ โดยเว็บไซต์ที่มีเว็บไซต์อื่นลิงก์เข้ามาหามากที่สุด จะเป็นเว็บไซต์ที่มีความสำคัญสูงสุด และจะถูกจัดอันดับไว้ดีกว่า โดยทั้งคู่ได้ทดสอบเสิร์ชเอนจิน โดยใช้เซิร์ฟเวอร์ของมหาวิทยาลัยสแตนพอร์ดในชื่อโดเมนว่า google.stanford.edu และต่อมาได้จดทะเบียนบริษัทกูเกิล (Google Inc.) ในวันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2541 โดยใช้โรงจอดรถของเพื่อนที่เมืองเมนโรพาร์กเป็นสำนักงาน โดยในขณะนั้นมีพนักงาน 4 คนซึ่งรวมบรินและเพจ และชื่อโดเมน google.com ได้ถูกจดทะเบียนเมื่อวันที่ 15 กันยายน ในขณะเดียวกันทั้งคู่ได้ลาพักการเรียน และใช้เวลาในการพัฒนาหาเงินทุนพัฒนาจากครอบครัว เพื่อนฝูง และนักลงทุน เป็นจำนวนเงินกว่า 1.1 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งรวมถึงเช็กเงินจาก แอนดี เบกโทลไชม์ ผู้ก่อตั้งซันไมโครซิสเต็มส์ ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2542 บริษัทได้ย้ายไปยังเมืองแพโลอัลโทที่ตั้งของบริษัทคอมพิวเตอร์หลายแห่ง ซึ่งต่อมากูเกิลได้ย้ายบริษัทอีกครั้งไปยังเมืองเมาน์เทนวิว ไปยังสำนักงานใหม่ในชื่อเล่นว่ากูเกิลเพล็กซ์ ซึ่งในปี 2543 กูเกิลได้เปิดธุรกิจในส่วนโฆษณาในชื่อ แอดเวิรดส์ และ แอดเซนส์ โดยเป็นการโฆษณาผ่านคำค้นหา ซึ่งทำให้ข้อความโฆษณาตรงกับความต้องการของผู้ค้นหาเนื้อหาในเว็บไซต์ และสองส่วนนี้กลายมาเป็นธุรกิจหลักของกูเกิลร่วมกับตัวเสิร์ชเอนจิน
เดือนพฤษภาคม 2543 กูเกิลได้มีผู้ใช้งานค้นหาคำมากกว่า 18 ล้านคำต่อวัน ซึ่งกลายมาเป็นเซิร์ชเอนจินอันดับหนึ่งของโลก และในเดือนมีนาคม 2544 เอริก ชมิดต์ อดีตผู้บริหารบริษัทโนเวลล์ และผู้บริหารระดับสูงของซันไมโครซิสเต็มส์ได้เข้ามาร่วมงานกับกูเกิลในตำแหน่งประธานบริหาร



จัดตั้งบริษัทมหาชน



ในวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2547 ได้เปลี่ยนเป็นบริษัทมหาชน โดยมีจำนวนหุ้นทั้งหมด 19,605,052 หุ้นที่ราคา 85 เหรียญสหรัฐต่อหุ้น โดย 14,142,135 หุ้น (อ้างค่าทางคณิตศาสตร์ √2 ≈ 1.4142135) ได้มีการเปิดขายแก่ประชาชนโดยกูเกิล และ 5,462,917 โดยผู้ถือหุ้นขาย หุ้นของกูเกิลในช่วงขายหุ้นครั้งแรกนี้มีมูลค่าเพิ่มขึ้นสูงขึ้นมากกว่า 200% ในช่วงปิดตลาดหุ้นของวันแรกที่ได้ประกาศ (เปรีบเทียบกับ ไป่ตู้ เสิร์ชเอนจินของประเทศจีน มูลค่าเพิ่มขึ้น 354% ในช่วงปิดตลาดวันแรก วันที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2548) และในวันที่ 31 ตุลาคม 2550 หุ้นกูเกิลได้ขึ้นไปสูงถึงราคา 700 เหรียญสหรัฐ
กูเกิลอยู่ในตลาดหุ้น
แนสแด็ก ในชื่อสัญลักษณ์ GOOG และในตลาดหุ้นลอนดอนในสัญลักษณ์ GGEA



การซื้อกิจการ



ตั้งแต่ปี 2544 กูเกิลได้เริ่มมีการซื้อบริษัทที่มีการพัฒนาในด้านเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์เข้ามา ตัวอย่างบริษัทและผลิตภัณฑ์ที่มีการซื้อได้แก่ บล็อกเกอร์พัฒนาโดยไพราแล็บส์แพลตฟอร์มสำหรับให้บริการเขียนบล็อก ปีกาซาที่พัฒนาโดยไอเดียแล็บซอฟต์แวร์สำหรับดูไฟล์ภาพและวิดีโอ คีย์โฮลพัฒนาโดยบริษัทคีย์โฮลซอฟต์แวร์สำหรับดูภาพถ่ายผ่านดาวเทียมและภาพถ่ายทางอากาศ ซึ่งปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของกูเกิลเอิร์ธ เออร์ชินเว็บแอปพลิเคชันในการวิเคราะห์สถิติผู้เข้าชมเว็บไซต์ ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นแอนะลิติกส์ ไรต์รีเว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเอกสารสำนักงานออนไลน์ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของด็อกส์ สเก็ตช์อัปพัฒนาโดยแอตแลสต์ซอฟต์แวร์สำหรับวาดภาพสามมิติ ยูทูบเว็บไซต์ให้บริการแชร์วิดีโอออนไลน์ จอตสปอตเว็บไซต์สำหรับสร้างเว็บไซต์แนววิกิปัจจุบันใช้ชื่อไซตส์ ดับเบิลคลิกบริษัทให้บริการโฆษณาออนไลน์ ไจกุเครือข่ายสังคมออนไลน์



ความร่วมมือ



ตั้งแต่ปี 2548 กูเกิลได้เริ่มมีการร่วมมือกับบริษัทอื่นและหน่วยงานรัฐบาลในการพัฒนาผลิตภัณฑ์มากขึ้น โดยกูเกิลได้ร่วมมือกับศูนย์วิจัยนาซ่าเอมส์ ในด้านการวิจัยระบบจัดการข้อมูล เทคโนโลยีนาโน และการสำรวจอวกาศ กูเกิลยังได้จับมือกับซันไมโครซิสเตมส์โดยได้แบ่งข้อมูลเพื่อใช้ในการวิจัย กูเกิลได้ร่วมมือกับเอโอแอลของไทม์วอร์เนอร์ในการเพิ่มประสิทธิภาพของระบบค้นหาวิดีโอออนไลน์ นอกจากนี้ทางบริษัทได้มีการลงทุนในส่วนของรหัสโดเมนบสุด .mobi ร่วมมือกับหลายบริษัทได้แก่ ไมโครซอฟท์ โนเกีย อีริกสัน



โครงการรณรงค์



กูเกิล ร่วมรณรงค์กิจกรรมการปิดไฟ กับโครงการเอิร์ธ อาวเออร์ (Earth Hour) ของกองทุนสัตว์ป่าโลก (World Wildlife Fund : WWF) ด้วยการปรับหน้าเว็บเพจเป็นสีดำพร้อมข้อความว่า "เราปิดไฟแล้ว ต่อไปตาคุณ" (We've turned the lights out. Now it's your turn.) ในวันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2551[11]
"Google"



ชื่อ "Google" มาจากคำว่า "googol" ซึ่งหมายถึงจำนวนทางคณิตศาสตร์ที่หมายถึงเลข 1 แล้วตามด้วยเลข 0 อีกหนึ่งร้อยตัว หรือ 10100 เพื่อเป็นการแสดงถึงเป้าหมายของบริษัทที่จะจัดการกับข้อมูลจำนวนมหาศาล อีกกระแสหนึ่งบอกว่าชื่อ Google มาจากความผิดพลาดในการจดโดเมนเนมในช่วงก่อตั้ง
ในวันที่
10 กรกฎาคม พ.ศ. 2548 กูเกิลชนะความในศาล ในคดีที่มีบริษัทอื่นตั้งชื่อใกล้เคียง ได้แก่ googkle.com ghoogle.com และ gooigle.com เพื่อเรียกให้คนอื่นเข้าเว็บไซต์ของตน ทำให้เกิดความเสียหายกับชื่อเสียงของกูเกิล






ผลิตภัณฑ์ของกูเกิล ซอฟต์แวร์เดสก์ทอป
ซอฟต์แวร์ของกูเกิล จะเป็นซอฟต์แวร์ให้ดาวน์โหลดใช้งานฟรี และทำงานผ่านระบบของกูเกิล




กูเกิล ทอล์ก
ทอล์ก (Google Talk) ซอฟต์แวร์
เมสเซนเจอร์และวีโอไอพี
กูเกิล เอิร์ธ
เอิร์ธ (Google Earth) ซอฟต์แวร์ดูภาพถ่ายผ่านดาวเทียมและภาพถ่ายทางอากาศ
ปีกาซา
ปีกาซา (Picasa) ซอฟต์แวร์สำหรับดูภาพภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ ใช้งานคู่กับเว็บไซต์ปีกาซา
กูเกิล แพ็ก
แพ็ก (Google Pack) เป็นชุดซอฟต์แวร์พร้อมดาวน์โหลด ประกอบด้วย โปรแกรมของกูเกิลเองได้แก่ เดสก์ท็อป ปีกาซา ทูลบาร์ โฟโต้สกรีนเซฟเวอร์ เอิร์ธ ทอร์ก วิดีโอเพลย์เยอร์ และโปรแกรมอื่นรวมถึง
ไฟร์ฟอกซ์ สตาร์ออฟฟิศ อะโดบี รีดเดอร์ สไกป์
กูเกิล โครม
โครม (Google Chrome) ซอฟต์แวร์
เบราว์เซอร์
สเก็ตช์อัป
สเก็ตช์อัป (SketchUp) ซอฟต์แวร์สำหรับวาดภาพสเก็ตช์ และภาพ 3 มิติ
กูเกิล แมพ












วันอาทิตย์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2554

Adam Smith























Adam Smith (baptised 16 June 1723 – died 17 July 1790 [OS: 5 June 1723 – 17 July 1790]) was a Scottish social philosopher and a pioneer of political economy. One of the key figures of the Scottish Enlightenment, Smith is the author of The Theory of Moral Sentiments and An Inquiry into the Nature and Causes of the Wealth of Nations. The latter, usually abbreviated as The Wealth of Nations, is considered his magnum opus and the first modern work of economics.


It earned him an enormous reputation and would become one of the most influential works on economics ever published. Smith is widely cited as the father of modern economics and capitalism.


Smith studied social philosophy at the University of Glasgow and the University of Oxford. After graduating, he delivered a successful series of public lectures at Edinburgh, leading him to collaborate with David Hume during the Scottish Enlightenment. Smith obtained a professorship at Glasgow teaching moral philosophy, and during this time he wrote and published The Theory of Moral Sentiments. In his later life, he took a tutoring position that allowed him to travel throughout Europe, where he met other intellectual leaders of his day. Smith returned home and spent the next ten years writing The Wealth of Nations, publishing it in 1776. He died in 1790.








Outlines of Roman History










The Early Legendary History.—In its beginnings, the history of Rome, like that of all other ancient peoples, is made up largely of traditions. But we must not suppose on this account that the early history of Rome is a mere blank. Like all other traditions, these stories have in them some elements of truth. They show to us the ideas and the spirit of the Roman people; and they show how the Romans used to explain the origin of their own customs and institutions. While we may not believe all these stories, we cannot ignore them entirely; because they have a certain kind of historical value, and have become a part of the world’s literature.











Foundation of the City.—According to the Roman legends, the origin of the city was connected with Alba Longa, the chief city of Latium; and the origin of Alba Longa was traced to the city of Troy in Asia Minor. After the fall of that famous city, it is said that the Trojan hero, Aeneas, fled from the ruins, bearing upon his shoulder his aged father, Anchises, and leading by the hand his son, Ascanius. Guided by the star of his mother, Venus, he landed on the shores of Italy with a band of Trojans, and was assured by omens that Latium was to be the seat of a great empire. He founded the city of Lavinium, and after his death his son Ascanius transferred the seat of the kingdom to Alba Longa. Here his descendants ruled for three hundred years, when the throne was usurped by a prince called Amulius. To secure himself against any possible rivals, this usurper caused his brother’s daughter, Rhea Silvia, to take the vows of a vestal virgin. But she became the mother of twin children, Romulus and Remus; their father was Mars, the god of war. The wicked Amulius caused the children to be thrown into the Tiber; but they remained under the guardianship of the gods. Drifting ashore at the foot of the Palatine hill, they were nursed by a she-wolf, and were brought up at the home of a neighboring shepherd. And when they had grown to manhood, they founded (B.C. 753?) the city of Rome on the Palatine, where they had been providentially rescued. In a quarrel between the two brothers, Remus was killed, and Romulus became the king of the new city.










The Reign of Romulus.—Romulus was looked upon by the Romans not only as the founder of their city, but as the creator of their social and political institutions. He is said to have peopled his new town by opening an asylum for refugees; and when he wanted wives for his people he captured them from the Sabines. After a war with the Sabines peace was made; and the two peoples became bound together into one city under the two kings, Romulus and Titus Tatius. After the death of Titus, Romulus reigned alone and gave laws to the whole people. He made many wars upon the neighboring towns, and after a reign of thirty-seven years he was translated to heaven and worshiped under the name of Quirinus.


















































It is of course impossible, in a small book like this, even to suggest the many and various opinions which have been expressed regarding the credibility of early Roman history. It is enough to say that, while we need not believe all the incidents and details contained in these stories, we may find in them references to facts and institutions which really existed; and with the aid of other means, we may put these facts together so as to explain in a rational way the origin and growth of the famous city on the Tiber.





II. THE SITUATION OF ROME





The Hills of Rome.—To obtain a more definite knowledge of the birth of Rome than we can get from the traditional stories, we must study that famous group of hills which may be called the “cradle of the Roman people.” By looking at these hills, we can see quite clearly how Rome must have come into being, and how it became a powerful city. The location of these hills was favorable for defense, and for the beginning of a strong settlement. Situated about eighteen miles from the mouth of the Tiber, they were far enough removed from the sea to be secure from the attacks of the pirates that infested these waters; while the river afforded an easy highway for commerce. Their Relation to One Another.—To understand the relation of these hills to one another, we may consider them as forming two groups, the northern and the southern. The southern group comprised three hills—the Palatine, the Caelian, and the Aventine—arranged in the form of a triangle, with the Palatine projecting to the north. The northern group comprised four hills, arranged in the form of a crescent or semicircle, in the following order, beginning from the east: the Esquiline, the Viminal, the Quirinal, and the Capitoline—the last being a sort of spur of the Quirinal.










These two groups of hills became, as we shall see, the seats of two different settlements. Of all the hills on the Tiber, the Palatine occupied the most central and commanding position. It was, therefore, the people of the Palatine settlement who would naturally become the controlling people of the seven-hilled city. Their Relation to Neighboring Lands.—By looking at the neighboring lands about the Tiber we see that Rome was located at the point of contact between three important countries. On the south and east was Latium, the country of the Latins, already dotted with a number of cities, the most important of which was Alba Longa. On the north was the country of the Sabines, a branch of the Sabellian stock.










On the northwest was Etruria, with a large number of cities organized in confederacies and inhabited by the most civilized and enterprising people of central Italy. The peoples of these three different countries were pushing their outposts in the direction of the seven hills. It is not difficult for us to see that the time must come when there would be a struggle for the possession of this important locality.










III. THE ORIGIN OF THE CITY





The Latin Settlement on the Palatine.—So far as we know, the first people to get a foothold upon the site of Rome were the Latins, who formed a settlement about the Palatine hill. This Latin settlement was at first a small village. It consisted of a few farmers and shepherds who were sent out from Latium (perhaps from Alba Longa) as a sort of outpost, both to protect the Latin frontier and to trade with the neighboring tribes. The people who formed this settlement were called Ramnes. They dwelt in their rude straw huts on the slopes of the Palatine, and on the lower lands in the direction of the Aventine and the Caelian. The outlying lands furnished the fields which they tilled and used for pasturage. In order to protect them from attacks, the sides of the Palatine hill were strengthened by a wall built of rude but solid masonry. This fortified place was called Roma Quadrata, or “Square Rome.” It formed the citadel of the colony, into which the settlers could drive their cattle and conduct their families when attacked by hostile neighbors. What some persons suppose to be the primitive wall of the Palatine city, known as the Wall of Romulus, has in recent years been uncovered, showing the general character of this first fortification of Rome.










"WALL OF ROMULUS"





The Sabine Settlement on the Quirinal.—Opposite the Palatine settlement there grew up a settlement on the Quirinal hill. This Quirinal settlement seems to have been an outpost or colony of the Sabine people, just as the Palatine settlement was a Latin colony. The Sabines were pushing southward from beyond the Anio. The settlers on the Quirinal were called Tities; their colony formed a second hill-town, similar in character and nearly equal in extent to the Palatine town.




















The Capitoline hill was chosen as the common citadel. The space between the two towns was used as a common market place (forum), and also as a place for the common meeting of the people (comitium). This union of the Palatine and Quirinal towns into one community, with a common religion and government, was an event of great importance. It was, in fact, the first step in the process of “incorporation” which afterward made Rome the most powerful city of Latium, of Italy, and finally of the world.




















Whatever may have been their origin, it is quite certain that they soon came to be incorporated as a part of the whole city community. The city of the early Roman kings thus came to be made up of three divisions, or “tribes” (tribus, a third part, from tres, three). The evidence of this threefold origin was preserved in many institutions of later times. The three settlements were gradually united into a single city-state with common social, political, and religious institutions. By this union the new city became strong and able to compete successfully with its neighbors.