วันเสาร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ไมเคิล แองเจิลโล MICHELANGELO


ไมเคิล แองเจิลโล ถือเป็นศิลปินที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของยุคที่รุ่งเรืองที่สุด คือ ยุคเรเนซองส์ ซึ่งเป็นยุคสมัยที่รู้จักกันดีถึงความเจริญทางด้านศิลปกรรม ความก้าวหน้าทั้งทาง ด้านวิทยาศาสตร์ การประดิษฐ์คิดค้น วรรณกรรมตลอดจนไปถึงเรื่องของการต่อสู้ ทางการเมือง สำหรับทางด้านศิลปะนั้น ถือเป็นความเจริญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคนี้ และไมเคิล แองเจิลโล ก็เป็นศิลปินที่นำหน้าศิลปินอื่นๆ ในยุคนี้ทั้งหมด เขามี ความสามารถเป็นเลิศในการเอาใจจดจ่ออยู่กับการใช้ความคิด การถ่ายทอดพลัง จากมือของเขาไปสู่ผลงานต่างๆ ที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้น ในการทำงานของ ไมเคิล แองเจิลโล นั้น เขาจะทานขนมปังเป็นอาหารเพียงเล็กน้อย เท่านั้น เวลานอนก็นอนบนพื้น หรือผ้าใบข้างๆ ภาพเขียน และรูปแกะสลักที่ยังไม่เสร็จ เขาจะสวมเสื้อผ้าชุดเดิมไปจนกว่างานที่เขาทำจะเสร็จสมบูรณ์ลง ชีวิตของศิลปินผู้นี้นั้น มีเพียงเพื่อนสนิทอยู่ไม่กี่คนเท่านั้นที่ยังคงรักและบูชาเขา แต่โดยทั่วไปแล้ว คนส่วนมากจะคิดว่าเขาเป็นคนเย็นชา และไม่เป็นมิตรกับใคร ไมเคิล แองเจิลโล ใช้ชีวิตอยู่อย่างเป็นโสดโดยไม่ได้แต่งงานกับใครเลยไปจนตลอดชีวิตของเขา
ประวัติส่วนตัว
ชื่อเต็มของศิลปินผู้นี้คือ ไมเคิล แองเจิลโล ดิ โลโดวิโด บัวนารอตติ ซิโมนี(MICHELANGELO DI LODOVICO BUONARROTI SIMONI) เกิดเมื่อวันที่ 6 มีนาคม ปี ค.ศ. 1475 เมืองคาปรีส์ ประเทศอิตาลี ในเมืองเล็กๆ ใกล้ ๆ กับเมืองฟลอเรนส์ และได้เสียชีวิตเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ปี ค.ศ.1564 บิดาเป็นนายกเทศมนตรีของหมู่บ้าน ไมเคิล แองเจิลโล เป็นบุตรคนที่สอง ในบรรดาพี่น้องทั้งหมด 5 คนด้วยกัน เข้ารับการศึกษาที่โรงเรียนในเมืองฟลอเรนส์ ถึงแม้จะไปเรียนหนังสือ แต่จิตใจของเขาก็ไม่ได้อยู่กับการเรียนเลยแม้แต่นิด แต่กลับทุ่มเทจิตใจให้กับงานด้านศิลปะ และหลงไหลในการเป็นจิตรกร และการแกะสลักตั้งแต่ยังเป็นเด็กอยู่ จนในที่สุดเมื่อไมเคิลมีอายุได้ 13 ปีเต็ม บิดาของเขาจึงตัดสินใจส่งไปฝึกงานกับพี่น้องเจอร์ลันดาร์จ ซึ่งเป็นจิตรกรที่มี ชื่อเสียงของเมืองฟลอเรนส์ ถึงแม้จะได้ฝึกงานทางศิลปะแล้วก็ตาม แต่ไมเคิล ก็ยังคงไม่สมหวังอยู่ดีเพราะพี่น้องทั้งสองไม่ยอมสอนเทคนิคต่างๆ ในการทำงาน ให้กับเขาเลย วันหนึ่งขณะที่เขากำลังเที่ยวเล่นอยู่นั้นก็ได้ไปพบกับสวนแห่งหนึ่งใน วิหารซานมาร์โค โลเรนโซ ผู้เป็นหัวหน้าของตระกูลเมดีซี่ ได้สั่งซื้อรูปแกะสลักของกรีกโรมันโบราณ มาเก็บไว้ที่สวนแห่งนี้ และจ้างให้เบอร์โทโดผู้เป็นช่างแกะสลัก ที่เฉลียวฉลาด ให้ทำหน้าที่เป็นทั้งอาจารย์ และภัณฑรักษ์ของสวนนี้ ไมเคิล แองเจิลโล ตกลงใจไปทำงานเป็นผู้ช่วยให้กับเบอร์โทโด โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตจากบิดาเลย จนกระทั่งวันหนึ่ง ลอเรนโซ เกิดบังเอิญมาเห็นเด็กชายคนหนึ่งกำลังแกะสลักส่วนหัว ของฟอนอยู่เกิดความประทับใจในตัวไมเคิล แองเจิลโลตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จึงขอให้ ไมเคิลไปอยู่กับเขาที่พระราชวังด้วย และปฏิบัติต่อไมเคิลเสมือนเป็นลูกชายของเขา เองทีเดียวลอเรนโซ เสียชีวิตในปี ค.ศ. 1492 การจากไปของลอเรนโซ สร้างความโศกเสียใจให้กับ ไมเคิล แองเจิลโลเป็นอย่างมาก เขาตั้งหน้าตั้งตาทำงานอย่างหนัก ในช่วงนั้นเองได้มี การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในเมืองฟลอเรนซ์ โดยบาทหลวงคณะโดมินิกันผู้หนึ่งนามว่า จีโลราโม สาวานาโรลา เกิดบ้าอำนาจขึ้นมาและพยายามครอบงำประชาชนให้ตกอยู่ ภายใต้การสั่งสอนของเขา ไมเคิล แองเจิลโล ไม่ต้องการตกอยู่ภายใต้อิทธิพลมืดนี้ จึงตัดสินใจออกจากเมืองฟลอเรนส์ไป

Michelangelo Buonarroti was born on March 6, 1475 in the village of Caprese, Italy. He was one of the most important artists of the Italian Renaissance, a period when the arts and sciences flourished. Michelangelo became an apprentice to prominent Florentine painter, Domenico Ghirlandaio at the age of 12, but soon began to study sculpture instead. He attracted the attention and patronage of Lorenzo de Medici, who was ruler of Florence until 1492.At age 23, Michelangelo completed his magnificent Pieta, a marble statue that shows the Virgin Mary grieving over the dead Jesus. He began work on the colossal figure of "David" in 1501, and by 1504 the sculpture (standing at 4.34m/14 ft 3 in tall) was in place outside the Palazzo Vecchio. The statue became a symbol for the new republic that had replaced Medici rule.Michelangelo portrayed David partly as the ideal man, partly as an adolescent youth. Unlike predesessors by other sculptors which depict David with the grissly head of the giant under his foot, Michalangelo poses David at the moment he faces the giant, with the deed before him. He believed this was the moment of David's greatest courage.From 1508 until 1512 Michelangelo worked on his most famous project, the ceiling of the Sistine Chapel in the Vatican. He had always considered himself a sculptor and resisted painting the Sistine with characteristic vehemence: "I cannot live under pressures from patrons, let alone paint." Only the power of the Pope Julius II forced him into the reluctant achievement of the world's greatest single fresco. He covered the ceiling with paintings done on wet plaster, showing nine scenes from the Old Testament. Michelangelo later painted "The Last Judgment" on the altar wall of the Sistine Chapel.Toward the end of his life, Michelangelo became more involved in architecture and poetry. In 1546 he was made chief architect of the partly finished St. Peter's Basilica in Rome, where the Pieta is now kept.
ช่างแกะสลักผู้ชาญฉลาด
ในปี ค.ศ. 1496 ไมเคิล แองเจิลโลได้มาที่กรุงโรมเป็นครั้งแรก และที่นี่เขาถูกว่าจ้าง ให้แกะสลัก "เปียตต้า" เปียตต้า เป็นรูปแกะสลักหินอ่อนทั้งหลัง โดยแกะเป็นรูปของ พระแม่มารี ซึ่งกำลังอุ้มพระศพของพระเยซูคริสต์อยู่บนหัวเข่ารูปแกะสลักนี้เป็นที่ รู้จักกันดีในนามของ "มาดอนน่า เดอะ เปียตต้า" ซึ่งได้สร้างชื่อเสียงให้กับ ไมเคิล แองเจิลโลเป็นอย่างมาก รูปแกะสลักนี้ถูกนำไปตั้งไว้ในมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ ที่บาซิริกา ในโรม
เมื่อไมเคิล แองเจิลโลอายุได้ 26 ปี เขาได้กลับมาที่ฟลอเรนซ์อีกครั้งหนึ่ง เขาได้รับ หินอ่อนที่มีขนาดใหญ่ คือ มีขนาด 18 ฟุต หรือ 5.5 เมตร เป็นหินอ่อนที่ช่างแกะ คนก่อนแกะทิ้งเอาไว้แต่ยังไม่เสร็จและหินอ่อนก็อยู่ในสภาพ ที่ชำรุดทรุดโทรมมาก ไมเคิลแองเจิลโล เอาใจใส่และทุ่มเทให้กับการแกะสลักหินก้อนนี้ เป็นเวลาถึง 2 ปี โดยปราศจากความหวั่นเกรงของอุปสรรคต่างๆ ทั้งในเรื่องความใหญ่โตของขนาด และความยากในการแกะเนื่องด้วยเป็นหินที่ผ่านการแกะสลักมาแล้วและด้วยความ เป็นช่างแกะผู้ปราชญ์เปรื่อง เขาก็ได้สร้างรูปแกะสลักที่งดงามที่สุดในโลกขึ้นเป็นรูป ของชายหนุ่มผู้กล้าหาญ ซึ่งมีนามว่า "เดวิด"
ในปี ค.ศ. 1505 ไมเคิล แองเจิลโล ตัดสินใจไปยังโรม เพื่อไปทำงานสร้างสุสานของ พระสันตปาปา จูเลียสที่ 2 ที่เสียชีวิตลงสุสานนี้มีขนาดของ โครงสร้างที่ใหญ่โตมาก และประกอบด้วยรูปแกะถึง 40 ชิ้น โดยจัดวางเรียงเป็น 3 ชั้น ไล่ระดับกันลงมา เขาต้องใช้เวลาทั้งหมดหลายเดือนเพื่อทำการคัดเลือกหินอ่อนที่จะมาใช้ในงานนี้ แต่อุปสรรคต่างๆก็เกิดขึ้น อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนอำนาจจากพระสันตปาปาคนก่อน ไปสู่มือพระสันตปาปาคนใหม่ เมื่อการเมืองเปลี่ยน ก็ก่อให้เกิดความอิจฉาริษยาขึ้น โดยมีการวางแผนงานใหม่ เพื่อขัดขวางการทำงานในการสร้างสุสานของไมเคิล แองเจิลโล จนกระทั่งหลายปีผ่านไป เขาสามารถแกะสลักหินอ่อนได้เพียงไม่กี่รูป แต่ท่ามกลางงานแล้วนั้น เขาได้สร้างรูปแกะของ "โมเสส" ที่เป็นงานที่ทรงพลัง มากที่สุดของเขา ปัจจุบันรูปแกะสลักนี้ตั้งอยู่ในวิหารที่ซานเปียตโต ในวินซ์ลี่
ตัวอย่าง
ผลงานของ ไมเคิล แองเจิลโล
The Creation of Man
เป็นผลงานชิ้นหนึ่งในวิหาร Sistinel ในนครวาติกัน

Creation of the Sun and Moon

ศิลปินหลายคนก่อนที่จะมาถึงยุคของไมเคิล แองเจิลโล ได้วาดภาพของ อดัม (หนึ่งในมนุษย์คู่แรกที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นมา-ผู้แปล) นอนอยู่บนพื้นดิน ซึ่งกำลังยื่นมือออกไปเพื่อสัมผัสกับมือของพระเป็นเจ้า แต่ไม่มีศิลปินคนไหนแสดงออกมาได้ อย่างน่าทึ่ง ดูเรียบง่าย และมีพลังแห่งการสร้างสรรค์เท่ากับไมเคิล แองเจิลโลจากภาพ อดัมนอนเหยียดยาวอยู่บนพื้นที่แห้งแล้ง ทางด้านขวาเป็นภาพ ของพระผู้สร้างและเหล่าเทวดา ด้านหลังเป็นภาพของท้องฟ้าที่ว่างเปล่าจุดเดียวที่เป็นจุดสัมผัส ระหว่างอดัมผู้เป็นมนุษย์กับ พระเป็นเจ้านั้น คือ ปลายนิ้วชี้ของทั้งสองฝ่ายที่ยื่นมาเพื่อสัมผัสซึ่งกัน และกันนิ้วมืออันเปี่ยม ด้วยพลังแห่งชีวิตของพระผู้สร้างและนิ้วมืออันไร้ซึ่งชีวิตของอดัมพระผู้เป็นเจ้า ได้ถ่ายทอด การมีชีวิตให้กับอดัม ไมเคิล แองเจิลโล สามารถเขียนภาพนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบและ สามารถถ่ายทอดให้เราได้เห็นถึง พลังอำนาจที่อยู่เหนือสิ่งอื่นใดของพระผู้สร้างได้อย่างชัดเจน

David


รูปแกะสลักเป็นหินอ่อนเริ่มต้นแกะในปี ค.ศ. 1501และเสร็จสมบูรณ์ในปี ค.ศ. 1504 (เป็นหินแกะสลักรูปคนยืนสูง 4.34 เมตร หรือ 14 ฟุต 3 นิ้ว) ตั้งอยู่ด้านนอกของPalazzo Vecchio ในศตวรรษที่ 19 รูปแกะนี้ได้เคลื่อนย้ายไปตั้งอยู่ที่ Accademia
Delphes Sylphide


เป็นผลงานชิ้นหนึ่งในวิหาร Sistinel ในนครวาติกัน


The Separation of Light from the Darkness

เป็นรูปหนึ่งของวิหารซิสทายปรากฏอยู่เหนือศรีษะ Prophet Jeremiah ไมเคิล แองเจิงโล ได้วาดรูปนี้ในปี ค.ศ.1508 ถึงปี ค.ศ. 1512 โดยรับการติดต่อจาก สันตปาปา Julius ที่ 2





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น